PTTEP ฟาดกำไร 2.06 หมื่นลบ. Q2/65 พุ่งขึ้น 189% ปันผลกลางปี 4.25 บาท

HoonSmart.com>>ปตท.สผ. ดีเกินคาด ครึ่งแรกปี 65 กวาดกำไร 31,118.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% โตตามแผนงาน ปริมาณขายปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นจากโครงการโอมาน แปลง 61 และโครงการจี 1/61  เร่งเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซโครงการจี 1/61 ริเริ่มพัฒนาโครงการ CCS  เจาะสำรวจพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นำรายได้ส่งให้รัฐ  50,000 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 4.25 บาท/หุ้น XD  15 ส.ค.

บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) เปิดเผยผลงานงวดไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิ 20,599.94 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 5.28 บาท เพิ่มขึ้นถึง 13,460 ล้านบาทหรือ 188.53%เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,139.60 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.78 บาท และรวมงวด 6 เดือนปีนี้กำไรทั้งสิ้น 31,118.97 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 7.92 บาท เพิ่มขึ้น 54% จากระยะเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 18,673.29 ล้านบาทหรือ 4.66 บาท

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม กล่าวว่า ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 600 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 20,600 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 89% เมื่อเทียบกับจำนวน 318 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 10,519 ล้านบาท) ของไตรมาส 1 ปีนี้ โดยมีรายได้รวม 2,469 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 84,955 ล้านบาท) เป็นผลมาจากปริมาณการขายของโครงการจี 1/61 และราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาดโลก

ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯมีกำไรสุทธิที่ 918 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ 27.72 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ 76% รายได้รวม 4,543 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 153,528 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นประมาณ 28% เมื่อเทียบกับรายได้รวม 3,546 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 109,658 ล้านบาท) โดยมีปัจจัยหลักจากปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 446,519 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือ 8% จาก 413,168 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากการรับรู้ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของโครงการโอมาน แปลง 61 และปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบที่เข้าเป็นผู้ดำเนินการโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ ปลาทอง สตูล และฟูนาน) ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

ทั้งนี้ ปตท.สผ. ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการในโครงการจี 1/61 เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้ติดตั้งแท่นหลุมผลิตไปแล้ว 2 แท่น และจะติดตั้งแท่นที่เหลืออีก 6 แท่น ให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 วางท่อใต้ทะเลทั้งหมด 8 เส้น โดยจะเร่งเจาะหลุมผลิตใหม่เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซฯ ให้ได้ตามเงื่อนไขในสัญญาแบ่งปันผลผลิต รองรับความต้องการใช้พลังงานและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ

สำหรับความคืบหน้าของโครงการในต่างประเทศ ปตท.สผ. ได้เริ่มผลิตน้ำมันดิบจากโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ แล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายการผลิตที่อัตรา 13,000 บาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ อีเอ็นไอ อาบูดาบี ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการ และบริษัท พีทีทีอีพี มีนา  บริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ในฐานะผู้ร่วมทุน  30% ได้เจาะหลุมสำรวจ XF-002 ซึ่งเป็นหลุมสำรวจหลุมแรกในโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โดยได้มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในชั้นหินกักเก็บระดับลึกในปริมาณมาก จากก่อนหน้านี้ที่ได้ค้นพบก๊าซฯ ในชั้นหินกักเก็บระดับตื้นในปริมาณมากเช่นกัน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการค้นพบก๊าซฯ ของโครงการนี้

“ประเมินเบื้องต้นพบว่ามีปริมาณก๊าซธรรมชาติในแหล่งกักเก็บโดยรวมประมาณ 2.5 – 3.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต ” นายมนตรีกล่าว

ปัจจุบัน ปตท.สผ. มีการลงทุนในยูเออีร่วมกับอีเอ็นไอทั้งหมด 4 โครงการ ได้แก่ โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 1 โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 3 และโครงการชาร์จาห์ ออนชอร์ แอเรีย ซี ซึ่งทุกโครงการอยู่ในระยะสำรวจ

นายมนตรีกล่าวว่า เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำนั้น ปตท.สผ. ได้ริเริ่มศึกษาและพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้ศึกษาและพัฒนาโครงการ CCS ครั้งแรกของประเทศไทยที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนช่วงปลายปี 2566

ปตท.สผ. ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีประสบการณ์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อศึกษาและพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย และยังมีความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ในโครงการ CCS Hub Model ล่าสุด ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่ม ปตท. กับภาครัฐและเอกชนรายอื่น ๆ เพื่อจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Storage หรือ CCUS) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCUS จากภาคอุตสาหกรรมหลักของประเทศ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยให้เกิดเป็นรูปธรรม

ด้านความคืบหน้าตามแผนงานในการดูแลสิ่งแวดล้อม ตามกลยุทธ์ “ทะเลเพื่อชีวิต” (Ocean for Life) เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืนนั้น ปตท.สผ. ได้ร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการปล่อย “ทุ่นกระแสสมุทร” หรือ Ocean Current Mapper เพื่อติดตามกระแสน้ำผ่านระบบดาวเทียมและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวงจรชีวิตของสัตว์น้ำ การเคลื่อนที่ของขยะทะเล รวมถึงไมโครพลาสติก รวมทั้ง ยังสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบในการเตือนภัยล่วงหน้าทางทะเล และผลกระทบที่เกิดจากโลกร้อน โดยได้ทำการปล่อยทุ่นกระแสสมุทรทุ่นแรกบริเวณโครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย นับเป็นการปล่อยทุ่นศึกษาการไหลเวียนของกระแสน้ำในทะเลไกลฝั่งครั้งแรกในประเทศไทย และจะมีการปล่อยอย่างต่อเนื่องทุกเดือนจนถึงกลางปี 2566 เพื่อติดตามสุขภาพของมหาสมุทรและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลอนุรักษ์ท้องทะเล

ส่วนกำไรที่ดีขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ปตท.สผ. ได้นำรายได้ส่งให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง โบนัสการผลิต และส่วนแบ่งผลประโยชน์ต่าง ๆ ประมาณ 50,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น

คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2565 ที่ 4.25 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 16 ส.ค. 2565 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 ส.ค. 2565

“ผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแผนงานที่วางไว้ ในขณะเดียวกัน ปตท.สผ. ยังได้หาโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ (Beyond E&P) รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต เช่น CCS และ CCUS รวมทั้ง ได้เริ่มการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่โครงการเอส 1 กำลังการผลิตประมาณ 10 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มการผลิตไฟฟ้าได้ในไตรมาส 1/2566 นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ในหลากหลายรูปแบบ ” นายมนตรี กล่าว