TLI ฤกษ์เข้าเทรด SET 25 ก.ค. นี้ ชูเบี้ยประกันภัยรับสูง-กำไรโต

HoonSmart.com>>”ไทยประกันชีวิต” บริษัทประกันชีวิตแห่งแรก-รายใหญ่ที่สุดในประเทศที่ก่อตั้งโดยคนไทย พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 25 ก.ค. นี้ มาร์เก็ตแคป 183,200 ล้านบาท ขายหุ้น IPO ราคา 16 บาท/หุ้น  มูลค่าพื้นฐานกิจการ 13.42 บาท P/EV ประมาณ 1.19 เท่า P/BV ประมาณ 2.13 เท่า กำไรปี 62-64 จำนวน 6,777 ล้านบาท 7,692 ล้านบาท 8,394 ล้านบาท ตามลำดับ ไตรมาส 1 ปีนี้  3,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 15%

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บริษัทไทยประกันชีวิต (TLI) เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดประกันภัยและประกันชีวิต ในวันที่ 25 ก.ค. 2565

TLI เป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของคนไทย ดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ “ไทยประกันชีวิต” ซึ่งเป็นที่รู้จักมายาวนานกว่า 80 ปี มีส่วนแบ่งทางการตลาดเบี้ยประกันภัยรับรวม สูงเป็น 3 ลำดับแรกของประเทศ 12 ปีติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย การให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศจากเครือข่ายตัวแทนประกันชีวิต กว่า 64,000 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำที่มีการจำหน่ายผ่านตัวแทนประกันชีวิตของประเทศ มีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านสถาบันการเงิน องค์กรพันธมิตรชั้นนำและอื่นๆ ที่เข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้า ตลอดจนได้รับการสนับสนุนทางธุรกิจจาก Meiji Yasuda Life Insurance Company (MY) ผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ (Strategic Shareholder) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นด้วย

บริษัทมีทุนชำระแล้ว 11,450 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวม 2,316.70 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นเพิ่มทุน 850 ล้านหุ้น หุ้นเดิมของบริษัท วี.ซี. สมบัติ 1,166.58 ล้านหุ้น และ Her Sing (H.K.) Limited 138.49 ล้านหุ้น และจัดสรรหุ้นส่วนหุ้นเกิน 161.63 ล้านหุ้น โดยเสนอขายในราคาหุ้นละ 16 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 37,067.18 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมูลค่าระดมทุน 13,600 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 183,200 ล้านบาท มีบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น และมีบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) และบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น

นายไชย ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต (TLI) เปิดเผยว่า การนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทฯ มีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปลงทุนด้านเทคโนโลยี (Digital Transformation) เพื่อผลักดันบริษัทสู่การเป็น Data Driven Company รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการขายผ่านพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งอยู่แล้วในปัจจุบันให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมสร้างเงินกองทุนให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอบโจทย์การเป็นบริษัทประกันชีวิต แห่งความยั่งยืนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับนักลงทุน และพร้อมดูแลเคียงข้างคนไทย

สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 16 บาทพิจารณาจากหลายปัจจัย หากพิจารณามูลค่าพื้นฐานของกิจการ (Embedded Value) (เป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ประกันภัยเพื่อที่จะหามูลค่าผลประโยชน์ที่มีต่อผู้ถือหุ้นจากกรมธรรม์ที่ยังมีผลบังคับของบริษัทประกันชีวิต) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2564 เท่ากับ 142,277 ล้านบาท หารด้วยจำนวนทั้งหมด 10,600 ล้านหุ้น จะได้มูลค่าพื้นฐานของกิจการต่อหุ้น 13.42 บาทต่อหุ้น และคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าพื้นฐานของกิจการ (P/EV) ประมาณ 1.19 เท่า และคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ( P/BV) ประมาณ 2.13 เท่า โดยพิจารณาจากส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565  จะได้มูลค่าตามบัญชีสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 7.50 บาทต่อหุ้น สำหรับธุรกิจประกันชีวิต การประเมินมูลค่าของบริษัทด้วยอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ( P/E) จะไม่สะท้อนถึงมูลค่ายุติธรรมของบริษัทฯ เนื่องจากไม่สะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจจากกระแสเงินสดที่บริษัทฯ จะได้รับจากกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปี ทั้งนี้ TLI มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2562-2564 มีกำไรสุทธิ 6,777.35 ล้านบาท 7,692.32 ล้านบาท และ 8,393.52 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนในไตรมาส1/2565 มีกำไรสุทธิ 3,793.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3,307.97 ล้านบาทในระยะเดียวกันปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับ 19,450.81 ล้านบาท ลดลง 0.47% เทียบกับจำนวน 19,543.58 ล้านบาทโดยมีสาเหตุหลักมาจากเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปที่ลดลง ซึ่งมาจากการครบระยะเวลาจ่ายเบี้ยประกันภัยของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มากขึ้น

ส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี จำนวน 3,324.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 24.66% จากจำนวน 2,666.7 ล้านบาท

ด้านรายได้จากการลงทุน ซึ่งประกอบด้วยเงินปันผลและดอกเบี้ยรับ (หักค่าใช้จ่ายในการลงทุน) เพิ่มขึ้น 2.63% จากจำนวน 4,066.34 ล้านบาท เป็น 4,173.34 ล้านบาท