ดัชนีเชื่อมั่น ‘ซบเซา’ ครั้งแรกรอบ 11 เดือน รายย่อยมองแย่ สถาบันมองบวก

HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เผยผลสำรวจดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 64.57 ลดลง 23.1% จากเดือนก่อนหน้า ห่วงนโยบายเฟดทำเศรษฐกิจถดถอย เงินเฟ้อ สถานการณ์โควิด ส่วนธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่อาหารและเครื่องดื่ม ท่องเที่ยวและธนาคาร  

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือน มิ.ย.2565 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 64.57 ลดลง 23.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ท่องเที่ยวและธนาคาร

นักลงทุนมองว่าการฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือเงินทุนไหลเข้า และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่อาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย รองลงมาคือ ภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 Omicron สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5

“ผลสำรวจ ณ เดือนมิ.ย.65 พบว่าความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับลด 33.9% อยู่ที่ระดับ 69.57 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 25.9% อยู่ที่ระดับ 55.56  กลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 4.8% มาอยู่ที่ระดับ 57.14 ส่วนสถาบันในประเทศปรับขึ้น 5.9% อยู่ที่ระดับ 87.50″

ในช่วงเดือนมิ.ย. 2565 SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบอยู่ระหว่าง 1,557.61—1,660.01 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 29,990 ล้านบาท เป็นการขายสุทธิในเดือนแรกหลังจากซื้อสุทธิมาตลอดตั้งแต่เดือนธ.ค. 2564 อย่างไรก็ตาม ตลาดไทยยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ภาครัฐประกาศมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาพลังงานและมาตรการหนุนภาคท่องเที่ยว ส่งผลให้ SET index ปิดที่ 1,568.33 จุด ลดลง 5.7% จากเดือนก่อนหน้า

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ แนวทางการรับมือของเฟดต่อสถานการณ์เงินเฟ้อหลังอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี ความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านพลังงานในยุโรป รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ส่วนปัจจัยในประเทศ ได้แก่ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. สถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง  และสถานการณ์การระบาด COVID-19 Omicron สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5