6 หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ จ่อครบ 5 ปี 27,560 ลบ. ชิ่งหนีหนี้หล่นทับ ดบ.บาน-จับตา ANAN

HoonSmart.com>>”หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์” ใกล้มีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด 6 รุ่น มูลค่ากว่า 2.7 หมื่นล้านบาท CPALL ถึงคิวส.ค.นี้ 1 หมื่นล้านบาท ปี 66 มี MINT 1.5 หมื่นล้านบาท ANAN 2 รุ่น รวม 2,000 ล้านบาท TTCL 500 ล้านบาท PF 60.3 ล้านบาท คนวงการเผยบริษัทจะต้องใช้สิทธิก่อนปีที่ 5 เพื่อออกรุ่นใหม่ทดแทน มิเช่นนั้น หนี้-ดอกเบี้ยพุ่งกระฉูดตามเกณฑ์ “ไมเนอร์ฯ” รอขายรุ่นใหม่ ส.ค.นี้ หุ้นกู้บริษัทใดเรทติ้งต่ำกว่าระดับลงทุน หมดสิทธิออกใหม่ อนันดาฯ อยู่ที่ BB+ “เพอร์เฟค” จ้องขายหุ้นมีประกัน 2,100 ล้านบาท อายุ 2 ปี 6 เดือน ดอกเบี้ยดีงาม  6.80-7.25% ต่อปี  

สมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงานว่า ในช่วง 1-2 ปีมีหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์) ถึงเวลาใช้สิทธิก่อนครบกำหนด 6 รุ่น มูลค่ารวม 27,560.3 ล้านบาท เริ่มจาก บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) วันที่ 22 สค. 2565 มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท  ส่วนในปี 2566  ได้แก่ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) 1.5 หมื่นล้านบาท บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) 2 รุ่น รวม 2,000 ล้านบาท บริษัท ทีทีซีแอล (TTCL) 500 ล้านบาท และบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) 60.3 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากวงการหุ้นกู้ กล่าวว่า หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ เป็นหุ้นกู้แบบไฮบริด  กึ่งหนี้กึ่งทุน คือ จะเป็นหนี้ก็ไม่ใช่ ทุนก็ไม่เชิง คนที่ออกหุ้นกู้จะนับเป็นทุน มีเงื่อนไขชำระคืนเงินต้นเพียงครั้งเดียว เมื่อเลิกบริษัท หรือ เมื่อผู้ออกหุ้นกู้ใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้  ซึ่งได้รับความนิยมมาก เพราะในช่วง 5 ปีแรกหุ้นกู้นี้ไม่ถูกนับเป็นหนี้ แม้จะต้องแลกด้วยดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ปกติก็ตาม แต่เมื่อใกล้ครบ 5 ปี บริษัทส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะใช้สิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด เพื่อไม่ให้ถูกนับเป็นหนี้ กระทบต่ออัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัท และจะต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงยิ่งขึ้นตามความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น

ที่ผ่านมา บริษัทให้ผลตอบแทนดอกเบี้ย 4-8% ต่อปี ในช่วง 5  ปีแรก จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 5 ปี อ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ณ ขณะนั้น บวกดอกเบี้ย นับว่าสูงขึ้นมาก  ทำให้บริษัทที่มีความพร้อมใช้สิทธิไถ่ถอนก่อน เช่น MINT ประกาศเตรียมเปิดขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน เดือนก.ย.นี้  ทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ไถ่ถอนก่อนกำหนด ชูเรทติ้งหุ้นกู้ “BBB+” จะต้องติดตามว่าจะให้อัตราดอกเบี้ยใน 5 ปีแรกเท่าไร

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกบริษัทจะสามารถออกรุ่นใหม่มาทดแทนรุ่นเดิมได้ เนื่องจากสำนักงานกล.ต.ได้ปรับเกณฑ์กำกับดูแล เพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนว่า หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ที่จะเสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) ต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับน่าลงทุนเท่านั้น หรือ Investment Grade เท่านั้น คือเรทติ้งตั้งแต่ AAA จนถึง BBB-

ทั้งนี้บริษัททริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของ ANAN ที่ระดับ “BB+” ต่ำกว่า 2 ขั้นของอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ระดับ “BBB” เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะการด้อยสิทธิและผู้ออกตราสารสามารถเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้ได้

เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท MINT ประกาศเตรียมเปิดขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน เดือนก.ย.นี้ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ชุดเดิม (MINT18PA)  หุ้นกู้มีเรทติ้ง  “BBB+”  บริษัทฯ ได้อันดับ“A” แนวโน้ม “คงที่” มั่นใจศักยภาพบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และเตรียมความพร้อมรับโอกาสการขยายธุรกิจในอนาคตจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และเปิดประเทศ

เมื่อปี 2561 บริษัทไมเนอร์ฯ เสนอขายหุ้นกู้ชั่วนิรนดร์ วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นบริษัท เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เชนโรงแรมของสเปนอีก 25.2% และมีแผนซื้อเพิ่ม เป็น 51-55% จากเดิมถือจำนวน 44.5% ซึ่งประเมินว่าจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 1.3-1.4 พันล้านยูโร คิดเป็นเงินไทยราว 4.91-5.29 หมื่นล้านบาท

ด้านบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยื่นไฟลิ่งเพื่อออกและเสนอขายหุ้นมีประกัน ครั้งที่ 2/2565 วันที่ 8-10 สิงหาคม 2565 มูลค่าไม่เกิน 2,100 ล้านบาท อายุหุ้นกู้ 2 ปี 6 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 ที่ 6.80% ต่อปี ปีที่ 2 ที่ 7.0% ต่อปี และหลังปีที่ 2 จนครบอายุหุ้นกู้ 7.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ จัดอันดับความน่าเชื่อถือบริษัทที่ระดับ “BB” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564

PF จะนำเงินไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน จำนวน 500 ล้านบาทภายในเดือนส.ค. 2565 , ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ PF229A จำนวน 335 ล้านบาทภายในเดือนก.ย. 2565 , ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ PF220A จำนวน 775 ล้านบาท ภายในเดือนต.ค. 2565 และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 490 ล้านบาท ภายในเดือนธ.ค.2565