HoonSmart.com>>ธปท.ปล่อยเงินบาทแกว่งตามกลไกตลาด นับจากต้นปี อ่อนค่าลงประมาณ 7.6% อยู่ในระดับกลาง ๆ เทียบภูมิภาค หากผันผวนมากผิดปกติ ถึงจะเข้าไปแทรกแซง แนวโน้มครึ่งปีหลังมีโอกาสพลิกแข็งค่า ส่วนเงินทุนไหลเข้า-ออกก็ไม่ผิดปกติ ถึง 5 ก.ค. ยังเป็นบวกสุทธิที่ 9.7 หมื่นล้านบาท ยันไม่มีมาตรการควบคุม ด้านเงินเฟ้อมิ.ย. 7.66% ยังไม่ใช่จุดสูงสุด คาด 2 เดือนมีโอกาสเห็น 8% จากฐานต่ำ
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้จะยังคงปล่อยให้เงินบาทเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกของตลาดเป็นหลัก และอยู่ในทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นทั่วโลก แม้จะอ่อนค่าลงมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมาก ทำให้เกิดความผันผวนของค่าเงินทั่วโลก แนวโน้มในครึ่งปีหลัง เชื่อว่ามีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้
นับตั้งแต่ต้นปี 2565 เงินดอลลาร์แข็งค่าไปแล้ว 11.3% ขณะที่เงินสกุลต่าง ๆ อ่อนค่าทุบสถิติ เช่น เงินยูโรที่อ่อนค่าในรอบ 20 ปี ส่วนเงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 7.6% อยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค
แนวทางในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท.ในขณะนี้จะยังคงปล่อยให้การเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกของตลาดเป็นหลัก เพราะอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวสะท้อนราคาทุกอย่าง ดังนั้น ธปท.ไม่สามารถบอกได้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรจะอยู่ที่ระดับใดระดับหนึ่ง และการกำหนดไว้ที่ระดับระดับหนึ่งอาจก่อให้เกิดการสะสมความเสี่ยงที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว
“ธปท. ไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับใดในใจ ยังคงปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเป็นหลัก แต่ถ้าหากมีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมากผิดปกติ ธปท.จะเข้าไปดูแล เราแทรกแซงเรื่องความผันผวน แต่เราไม่แทรกแซงเรื่องระดับของค่าเงินบาท เรามีแนวทางในการดูแลอยู่แล้วว่าจะเข้าไปในช่วงไหน ตอนไหน แต่เราไม่เคยกำหนดว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรจะอยู่ที่ระดับไหน มองไปข้างหน้าทุกอย่างยังมีความเสี่ยง อ่อนได้ก็แข็งได้ แต่บาทที่อ่อนค่าในขณะนี้ยังเป็นผลมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก” นางดารณี กล่าว
ส่วนเงินทุนต่างชาติ ไหลเข้า-ออก ขณะนี้ยังไม่เห็นผิดปกติ และตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 5 ก.ค.2565 เงินทุนยังเป็นบวกสุทธิที่ 9.7 หมื่นล้านบาท โดยในตลาดทุนเป็นบวก 1.04 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดพันธบัตรไหลออกราว 7 พันล้านบาท ส่วนในระยะข้างหน้า เชื่อว่าตลาดมีการคาดการณ์อยู่แล้ว หากไม่มีปัจจัยใหม่เพิ่มเติมเข้ามา ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปตามที่คาดการณ์
ธปท. ยืนยันว่ายังไม่มีมาตรการในการควบคุมเงินทุนไหลออก เพราะเชื่อว่าการปล่อยให้ตลาดเคลื่อนไหวเสรีเป็นกลไกที่ดี แต่มาตรการในการดูแลยังต้องมี ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มีวิกฤติก็ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้
ปัจจุบันพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยมีเงินสำรองระหว่างประเทศสูงมาก ที่ 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ อันดับที่ 12 ของโลก ถ้าเทียบเงินสำรองต่อผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) มีสัดส่วนสูงถึง 52% คิดเป็นอันดับ 6 ของโลก และหากเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น เงินสำรองอยู่ที่ 335% หรือคิดเป็น 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ด้านนางสาวณชา อนันต์โชติกุล ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.65 ที่ระดับ 7.66% น่าจะยังไม่ใช่ระดับสูงสุด คาดว่าในอีก 2 เดือนข้างหน้าอาจจะได้เห็นตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่านี้ มีโอกาสแตะ 8% แต่เงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าระดับราคาสินค้าจะต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน เพราะเป็นตัวเลขที่เทียบกับฐานปีก่อนที่อยู่ในระดับต่ำ หากไม่มีสถานการณ์รุนแรงใด ๆ เพิ่มเติม ปัญหาเงินเฟ้อสูงก็น่าจะทยอยหายไปเอง
ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่าในขณะนี้ยังไม่ส่งผ่านมายังราคาสินค้าและบริการในทันที แต่จากการศึกษาพบว่า หากเงินบาทอ่อนค่ายาวกว่าที่ประเมิน อาจส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการมากกว่าในอดีต
“ธปท. คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีแรงบวกกลับเข้ามาที่ทำให้บาทไม่อ่อนมากกว่านี้ หรือกลับมาแข็งขึ้นด้วยซ้ำ หากท่องเที่ยวกลับมา ราคาน้ำมันไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าขนส่ง ค่าระวางการส่งสินค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบ คาดว่าปีนี้จะติดลบประมาณ 8% แต่เริ่มเห็นความคลี่คลายว่าตัวซัพพลายคลี่คลาย ทำให้ค่าขนส่ง ค่าระวางการส่งสินค้าระหว่างประเทศเริ่มปรับลดลง และหากท่องเที่ยวกลับมา ราคาน้ำมันไม่สูง ก็จะช่วยให้ดุลเดินฯ เป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลังหรือต้นปีหน้าที่ 5 พันล้านดอลลาร์” นางสาวณชา กล่าว
ขณะนี้นโยบายการเงินจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ และเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้การดำเนินนโยบายการเงินจะให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ล่าสุดปัจจัยต่าง ๆ เปลี่ยนไป เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้น มองไปในระยะข้างหน้าก็เห็นแนวโน้มการส่งผ่านการฟื้นตัวที่ชัดเจน จึงต้องให้น้ำหนักกับอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยแตกต่างจากสหรัฐ และไทยก็ไม่ได้ใช้นโยบายกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ทำให้มีอิสระในการทำนโยบายการเงิน
การทำนโยบายการเงินจะต้องดูเป้าหมาย 3 เรื่อง ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยเงินเฟ้อจะมีเป้าหมายในระยะปานกลาง แม้ว่าในระยะสั้นจะสูงกว่ากรอบ แต่ในระยะปานกลางและระยะยาวยังต้องติดตามเครื่องชี้หลายอย่าง การทำนโยบายการเงินจะต้องมุ่งให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้ามาอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2% ในระยะ 5-10 ปี และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะยังไม่มีการส่งผ่านไปยังเงินเฟ้อในระยะสั้น แต่เป็นการยึดเหนี่ยวไม่ให้เงินเฟ้อไปไกลกว่าที่คาดการณ์