โพลล์ชี้หุ้นครึ่งปีหลังต่ำสุด 1,486 จุด เชียร์ BBL-KBANK-BEM-CPN

HoonSmart.com>>โพลล์นักวิเคราะห์คาดหุ้นครึ่งหลังปี65 ต่ำสุด 1,486 จุด สูงสุด 1,662 จุด สิ้นปี 1,646 จุด ลดลง 101 จุดจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,747 จุด  ส่วนสิ้นไตรมาส 3 คาดดัชนีอยู่ที่ 1,569 จุด พอร์ตลงทุนหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทยสัดส่วน 27.39% เน้นกลุ่มค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว สื่อสาร และการแพทย์  เชียร์ BBL,BEM,CPN,KBANK 

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ต่อมุมมองการลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2565  คาดการณ์จุดสูงสุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เฉลี่ยที่ระดับ 1,662 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,486 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1,646 จุด ซึ่งลดลง 101 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อนที่ 1,747 จุด

 

ส่วนระยะสั้นช่วงไตรมาส 3/65 ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มทางลบ รองลงมาคาดว่าเป็น Sideways แต่ก็มีผู้ตอบประมาณ 4% ที่มองว่าเป็นทิศทางบวก โดยมีค่าเฉลี่ยณ สิ้นไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 1,569 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 18.63% กองทุนตราสารหนี้ 14.06% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 27.39%หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ  22.92% กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 7.31% ทองคำหรือกองทุนทองคำ  8.63% อื่นๆ เช่น น้ำมัน  1.06%

สำหรับการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร ท่องเที่ยว สื่อสาร และการแพทย์ ขณะที่ให้ลดน้ำหนักหมวดธุรกิจ ปิโตรเคมี  พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ ตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป

 

1.BBL ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จากการมีสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากมี 40% ที่ดอกเบี้ยลอยตัว งบดุลแข็งแกร่ง มูลค่าหุ้นถูก มี PER 7 เท่า และ PBV 0.5 เท่า รวมทั้งมีอัตราผลตอบแทนปันผลที่สูง 4% ต่อปี

2.BEM  แนวโน้มรถใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเปิดเทอม เปิดเมืองและยังได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใน ก.ย.นี้

3.CPN มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง และการให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยลง

4.KBANK คาดว่าธนาคารจะมีอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นและคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้น และมีมุมมองเชิงบวกเรื่องการร่วมทุนกับ JMT อีกด้วย

การคาดการณ์ดัชนีหุ้นครึ่งหลังของปี 2565  บนสมมติฐานหลัก มีการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบของปีนี้จาก 94.03 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาเป็น 102.36 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล   คาดเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเฉลี่ยอยู่ที่อัตราเติบโต 3.18% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อน (เม.ย.65) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.09%

ปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางการลงทุนตลอดครึ่งปีหลังนี้ ปัจจัยบวก ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย   รองมาคือ สถานการณ์โควิดที่เบาลงจนสามารถเปิด และ สถานการณ์โควิดโลก

ปัจจัยลบ มีการโหวตอย่างท่วมท้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความกังวลถึงภาวะถดถอย และ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก   ปัจจัยการเมืองใน  แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในประเทศไทย คาดว่าจะมีการปรับขึ้นในครึ่งหลังของปี 2565 อย่างแน่นอน แต่คาดแตกต่างกันไป  0.25-1.00% ให้น้ำหนัก 0.50% มากที่สุดถึง 37%  แต่ มีนักวิเคราะห์ 4% ที่มองสวนทางว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% ในครึ่งปีหลัง

ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาดหุ้นไทย มีค่าเฉลี่ยที่ 94.47 บาทเพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่  89.11 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้คาดการณ์กำไรต่อหุ้นเติบโตของปี 65 อยู่ที่ 8.20 %

นักวิเคราะห์ยังได้แนะนำรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชน ทั้งปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การลดค่าครองชีพและการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค ตามมาด้วย  การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ การกระตุ้นการลงทุน การช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงาน SME รวมถึงสนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น  และข้อแนะนำสุดท้าย เสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน