5 โบรกฯส่อง TU กำไร Q2/65 เดี้ยง…กดดันหุ้นลบ 4.85%

HoonSmart.com>>หุ้น TU ปิดเช้าลบ 4.85% 5 โบรกฯเล็งกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 เดี้ยง คาดจะอยู่ในช่วง 1.26-1.56 พันล้านบาท ลดลง 16-54% yoy และ +8% ถึง -37% qoq หลัก ๆ มาจากบันทึกขาดทุนราว 200-250 ล้านบาทจากการปิดโรงงาน Rugen Fisch ในเยอรมัน และ Red Lobster มีแนวโน้มบันทึกขาดทุนราว 150-600 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผลงานไตรมาส 3/65 เป็นต้นไปมีแนวโน้มฟื้นตัว พร้อมปรับลดประมาณการกำไรปี 65-66 และปรับลดราคาเป้าหมาย

หุ้น TU ปิดเทรดเช้าลบ 4.82% มาอยู่ที่ 15.80 บาท ลดลง 0.80 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,168.09 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 16.40 บาท ขึ้นสูงสุด 16.40 บาท และต่ำสุด 15.50 บาท

บล.เคทีบีเอสที แนะนำ”ขาย”หุ้นบริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 16.40 บาท จากเดิม 16.70 บาท มองว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/65 จะเป็นจุดต่ำสุด และจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป ทั้งนี้ คาดบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 1,105 ล้านบาท (-54% YoY,-37% QoQ) ลดลง ทั้ง YoY และ QoQ สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายพิเศษจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่า fair value ของ preferred share ใน Red lobster, ค่าใช้จ่ายจากการปิดโรงงานที่เยอรมัน, Red lobster (RL) ยังถูกกดจากต้นทุนที่สูง, รายได้ยังเติบโตได้ดีจาก ธุรกิจ Ambient และ pet care & value added รวมทั้ง Gross margin ดีขึ้นเล็กน้อย QoQ จากเงินบาทอ่อนค่า

พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 65-66 ลง มาอยู่ที่ 6,307 ล้านบาท (-21% YoY) และ 6,858 (+9% YoY) โดยปรับ gain จากการลงทุนใน preferred share ของ RL ลดลง, ปรับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนลงผลจาก RL ที่ยังถูกกดันจากต้นทุนที่สูง, ประมาณการรายได้ปี 65-66 ยังเติบโตได้ดี +7.8% YoY และ +4.7% YoY และคงประมาณการ gross margin ปี 65-66 อยู่ที่ 17.6%

ด้านราคาหุ้น underperform SET -5% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากต้นทุนปลาทูน่าที่อยู่ในระดับสูง และแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 65 ที่จะลดลง YoY โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/65 ที่ถูกกดดันจากหลายปัจจัย แต่มองว่าหากราคาหุ้นปรับตัวลงมากจะเป็นโอกาสในการเข้าสะสมสำหรับรอการฟื้นตัวตั้งแต่ ไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป

บล.โนมูระ พัฒนสิน มีมุมมองเป็นลบต่อ TU คาดงบไตรมาส 2/65 ที่ 1,505 ล้านบาท -16%y-y -21%q-q เพราะ SG&A เพิ่มจากค่าขนส่ง/ค่าแรงเพิ่มขึ้น, Avanti Feed/Frozen มีกำไรลดลง อันที่จริง TU มียอดขายเพิ่มถึง +14%y-y GPM เพิ่ม y-y q-q มีปริมาณขายเพิ่มโดยเฉพาะกลุ่มทูน่ากระป๋อง และปรับราคาขายชนิดแบรนด์เพิ่มขึ้น แต่ SG&A เพิ่มขึ้นมากกว่าจะชดเชยได้ ส่วน Red Lobster คาดขาดทุน -150 ล้านบาท (ต่ำกว่าปกติที่จะกำไรในไตรมาส 1) แต่ยังขาดทุนลด y-y q-q

ทั้งนี้ คาดไตรมาส 2/65 กำไรปกติของ TU จะลดลง y-y q-q เพราะต้นทุนทูน่าและแซลมอนสูงขึ้น ขณะที่ประเด็นค่าแรง ค่าขนส่ง จะยังเป็นความท้าทายอยู่ นอกจากนี้แล้วการพลิกฟื้น Red Lobster ค่อนข้างลำบากเพราะ CEO ลาออก จึงปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 19 บาท จากเดิม 23.8 บาท เกิดจากการปรับประมาณการลงและลดพีอีเป้าหมายลง ถึงแม้ TU จะยังมีปัจจัยบวกเรื่องการนำบริษัทลูกค้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และแนวโน้มการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ แต่ปีนี้คาดกำไรสุทธิลดลง -17% จึงยังไม่ใช่เวลาลงทุนใน TU

บล.กรุงศรี แนะนำ “ถือ”หุ้น TU มอง Lobster เป็นเหตุ คาดกำไรไตรมาส 2/65 มีแนวโน้มลดลง 46% yoy เป็นผลจากขาดทุนพิเศษ หากไม่รวมขาดทุนพิเศษ กำไรปกติจะอยู่ที่ 1.56 พันล้านบาท (-27% yoy, +8% qoq) ขณะที่กำไรปกติไตรมาส 3/65 มีแนวโน้มฟื้นตัวหนุนจากผลของฤดูกาล และต้นทุนทูน่าที่ลดลง แต่ยังมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นกระทบกำไรสุทธิในครึ่งปีหลัง พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 19.00 บาท (จากเดิม 22.20 บาท)

โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 มีแนวโน้มลดลงจากรายการพิเศษ คาดรายได้ไตรมาส 2/65 เพิ่มขึ้น 15% yoy เป็น 4.0 หมื่นล้านบาท หนุนจากการเติบโตจากธุรกิจอาหารแปรรูป อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 2/65 มีแนวโน้มทรงตัว qoq ที่ 17.5% แต่ส่วนแบ่งกำไรอาจมีผลขาดทุนประมาณ 300 ล้านบาท เทียบกับขาดทุน 177 ล้านบาท ในไตรมาส 1/65 จากผลประกอบการ Red Lobster อ่อนแอ

ทั้งนี้ คาดกำไรปกติไตรมาส 2/65 ที่ 1.56 พันล้านบาท (-27% yoy, +8% qoq) และหากรวมรายการพิเศษ 3 รายการ 1. ขาดทุน 400 ล้านบาท จากการประเมินมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิของ Red Lobster , 2. ขาดทุนจากการปิดโรงงานของ Rugen Fisch ในเยอรมนีจำนวน 200 ล้านบาท และ 3. กำไรอัตราแลกเปลี่ยน 300 ล้านบาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ลดลงเป็น 1.26 พันล้านบาท (-46% yoy, -28% qoq) ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

กำไรปกติไตรมาส 3/65 มีแนวโน้มดีขึ้นจากผลของฤดูกาล และต้นทุนทูน่าที่ลดลง โดยราคาทูน่าลดลงในมิ.ย. เป็นเดือนที่สามติดกันอีก 11% mom เป็น 1,425 เหรียญสหรัฐ/ตัน อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่จะมีการปรับลดมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิ์ของ Red Lobster ในไตรมาส 3-4 เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มองมูลค่าเงินปันผล 8% จากหุ้นบุริมสิทธิของ Red Lobster จะลดลงจากต้นทุนส่วนทุน (cost of equity) ที่สูงขึ้นผ่าน risk free rate จึงทำให้บริษัทอาจมีรายการขาดทุน 360 ล้านบาท และ 230 ล้านบาท ในไตรมาส 3-4 ตามลำดับ

พร้อมปรับคาดการณ์กำไรปี 65 ลง 18% เป็น 6.7 พันล้านบาท โดยใช้สมมติฐานขาดทุนพิเศษ 1.2 พันล้านบาท จากการปรับมูลค่า Red Lobster 990 ล้านบาท และการปิด Rugen Fisch 200 ล้านบาท และปรับ SG&A ต่อยอดขาย จาก 12.2% เป็น 12.3% อีกทั้งยังมีความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นกระทบกำไรในครึ่งปีหลัง

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) แนะนำ”ถือ”หุ้น TU ราคาเป้าหมาย 18 บาท/หุ้นปรับลดประมาณการกำไรปี 65 ลงเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษ ขณะที่กำไรปกติจะลดลง YoY จากฐานสูง อีกทั้ง Red Lobster ถูกกดดันจากจำนวนลูกค้าเข้าร้านลดลงและค่าใช้จ่ายพนักงานสูงขึ้น จึงปรับราคาเป้าหมายลงจาก 19.60 บาท เป็น 18.00 บาท (PE ปี 65 ที่ 12 เท่า) โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 5.7%

TU ปรับเป้าหมายปี 65 โดยเพิ่มเป้าการเติบโตของยอดขายเป็น 7-8% จากเดิม 4-5% แต่ปรับเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นลงเป็น 17.5-18% จาก 18-18.5% ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขาย ปรับลงเป็น 12.0-12.5% จาก 12.0-13.0% เพื่อสะท้อนอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง ค่าเงินบาทอ่อนค่า และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อ ประกอบกับมีรายการพิเศษ โดยรวมแล้วจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 65 ลง 5%

ทั้งนี้ คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/65 จะลดลง 16% QoQ และ 38% YoY เป็น 1.46 พันล้านบาท เนื่องจากการบันทึกขาดทุนประมาณ 250 ล้านบาทจากการปิดโรงงานในเยอรมันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภายใน ขณะที่ Red Lobster มีแนวโน้มที่จะบันทึกขาดทุน 600 ล้านบาทจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของหุ้นบุริมสิทธิ หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าวและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยคาดว่า TU จะมีกำไรปกติ 1.81 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% QoQ แต่ลดลง 19% YoY ทั้งนี้ จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง ราคาขายที่เพิ่มขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนค่า ยอดขายอาหารทะเลแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม มีแนวโน้มยังคงแข็งแกร่ง แต่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งน่าจะลดลงจากฐานที่สูงในปีที่แล้ว เนื่องจากสหรัฐฯ เปิดเมือง อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะลดลง 144 bps YoY เป็น 17.5% จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อ จึงคาดเงินปันผลครึ่งแรกปี 65 ที่ 0.45 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปีที่ 2.7%

ยอดขายมีแนวโน้มที่จะยังคงแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ดีต่อเนื่อง ประกอบกับการปรับราคาขายเพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาวัตถุดิบปลาทูน่าและปลาแซลมอนมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง ส่วนผลการดำเนินงานของ Red Lobster ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่เพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อจำนวนลูกค้าเข้าร้าน

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะ”ซื้อเก็งกำไร”หุ้น TU คาดกำไรปกติไตรมาส 2/65 ที่ 1,193 ล้านบาท (-34.7%QoQ, -50.2%YoY) ลดลงจากสาเหตุหลัก คือ SG&A ที่สูงขึ้นตามต้นทุนการขนส่ง และการรับรู้ผลขาดทุนจากการตีมูลค่ายุติธรรมของหุ้นบุริมสิทธิใน Red Lobster ราว 300 ล้านบาท จากปกติที่จะรับรู้เป็นกำไรไตรมาสละราว 250-300 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี คาดแนวโน้มไตรมาส 3/65 เบื้องต้นฟื้นตัว QoQ ได้จากผลการดำเนินงานหลักที่เติบโต แต่ YoY จะยังชะลอตัวจากการที่จะหยุดรับรู้กำไรจากการถือหุ้นบุริมสิทธิใน Red Lobster

พร้อมปรับประมาณการกำไรปกติปี 2565 และปี 2566 ลง 15.9% และ 5.8% เป็น 6,093 ลบ. (-24.6%YoY) และ 7,446 ลบ.(+22.2%YoY) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนการหยุดรับรู้กำไรจากการถือหุ้นบุริมสิทธิใน RL จากอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย พร้อมให้ราคาเป้าหมายใหม่ ที่ 18.80 บาท