HoonSmart.com>> 4 โบรกเกอร์ฟันธงหุ้นฟื้นตัวดีในไตรมาส 4 หลังสร้างฐาน-ผันผวนในไตรมาส 3 มองตลาดไทยดูดีกว่าต่างประเทศจากการเปิดเมือง เปิดประเทศ เศรษฐกิจฟื้นขึ้นได้ แนะกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก ศูนย์การค้าฯ เชียร์หุ้น MINT, KBANK, SPA, BH, CPF, TU, KSL, AMANAH, TIDLOR, SAWAD, CPALL, ADVANC, MBK, CRC, BBL, CK, CPN, MAKRO, ORI, SAPPE, PR9, SHR, TFG,SISB ช่วงสั้นเก็งกำไรลุ้นทำ Window Dressing เน้นหุ้นลงไปมาก SAWAD, AMANAH, MAKRO และ BGRIM บล.ทรีนีตี้คาดฟันด์โฟลว์เข้าอย่างมีนัยสำคัญ กลาง-ปลายไตรมาส 3
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในไตรมาส 3/65 ตลาดฯคงจะแกว่งตัวสร้างฐาน ซึ่งจะหาจุด bottom แม้ว่าจะมีปัจจัยลบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลายธนาคารทั่วโลก, สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน รวมถึงเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง แต่ตลาดฯคงจะให้น้ำหนักน้อยลง หลังจากที่ไตรมาส 2 ตลาดฯได้ปรับตัวลงตอบรับปัจจัยลบดังกล่าวไปมากแล้ว ทำให้ Valuation ตลาดน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ
แนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ แถว 3.75-4.00% ในปีนี้ ส่วนไทยก็จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง ไตรมาส 4/65 ตลาดฯน่าจะเร่งกลับตัวขึ้นได้ จากการบริโภคที่จะกลับมาอย่างเห็นได้ชัดเจนในปลายไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 ทำให้หุ้นในกลุ่มค้าปลีกกลับมาน่าสนใจ โดยเฉพาะ CPALL ที่ราคาลงลึกไปแล้ว เพียงแต่ช่วงสั้น เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง จึงไม่ค่อยกล้าลงทุน
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2565 จะเน้นกลุ่มที่อิงกับปัจจัยในประเทศเป็นหลัก มองไปที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญแล้ว ดังนั้นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวก็น่าจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้, หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลที่อิงกับลูกค้าต่างชาติก็น่าสนใจลงทุน และหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ Valuation ยังถูก อีกทั้งได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นด้วย ส่วนหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ตอบรับปัจจัยลบมากไปแล้วก็มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้
สำหรับไตรมาส 3/65 ได้แนะนำให้ลงทุน 5 หุ้นเด่น คือหุ้น MINT ราคาเป้าหมาย 42 บาท, หุ้น SPA ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท, หุ้น BH ราคาเป้าหมาย 185 บาท, หุ้น CPN ราคาเป้าหมาย 70 บาท และหุ้น KBANK ราคาเป้าหมาย 185 บาท
นายวิจิตร กล่าวต่อว่า ภาวะตลาดช่วงสั้นจะเห็นได้ว่าหุ้นทั่วโลกต่างรีบาวด์ขึ้นได้หลังจากที่ปรับตัวลงไปมากแล้ว ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบ 1,600 จุด และยังเปิด gap ไว้ที่ 1,630 จุดด้วย ควรจะเล่นหุ้นที่อยู่ในโซนด้านล่าง และช่วงนี้ก็มีการทำ Window Dressing ก่อนปิดงบไตรมาส 2/ ซึ่งหุ้นในกลุ่มค้าปลีกก็มีโอกาสที่จะทำ Window Dressing เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงไปมากแล้ว พร้อมมองเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ไว้ที่ 1,700 จุด
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในครึ่งหลังปี 65 มองไตรมาส 3 ตลาดมีโอกาสผันผวนในกรอบ 1,540-1,620 จุด ซึ่งภาพตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ เนื่องจากจะมีการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2 ส่วนใหญ่น่าจะรับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน รวมถึงรับผลกระทบจาการปิดเมืองของประเทศจีน อีกทั้งตัวเลข NPLs ที่อาจจะเพิ่มขึ้นซึ่งก็มีผลต่อกลุ่มสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ผลจากการเปิดประเทศจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น มองว่าไตรมาส 4 ตลาดฯมีโอกาสฟื้นตัวและลุ้นขึ้นไปทดสอบ 1,620-1,680 จุด ดังนั้นจึงแนะนำหุ้นที่กำไรจะดีต่อเนื่อง ในกลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ SPA จากผลดำเนินงานดี, VIRANDA เป็นโรงแรมขนาดเล็กที่มีผลงานดี และหุ้นในกลุ่มอาหาร แนะนำ CPF, TU, KSL ได้รับผลบวกจากราคาอาหารขึ้น และเงินบาทอ่อนค่า นอกจากนี้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดประเทศ แนะนำหุ้นในกลุ่มการเงิน เชียร์ AMANAH, TIDLOR, SAWAD กลุ่มค้าปลีก แนะนำ MAKRO, CPALL กลุ่มสื่อสาร แนะนำ ADVANC รวมถึงกลุ่มศูนย์การค้า แนะนำ MBK, CRC, CPN
ช่วงสั้นนี้สามารถเล่นเก็งกำไรลุ้นการทำ Window Dressing ได้ แม้งบฯจะยังไม่ดีในระยะสั้น แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงไปมาก อย่างหุ้น SAWAD, AMANAH, MAKRO และ BGRIM
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ทิศทางตลาดในช่วงไตรมาส 3 คาดว่าจะผันผวน รับผลกระทบหลักจากเงินเฟ้อที่อาจจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในไตรมาส 3 ต้องรอให้เงินเฟ้อชะลอก่อนตลาดถึงจะรีบาวด์ได้ ส่วนตลาดต่างประเทศมองสดใสไม่เท่าตลาดหุ้นไทย เพราะตัวเลข GDP ของต่างประเทศจะชะลอตัว ขณะที่ GDP ของไทยจะฟื้นตัวมองปลายปีดัชนีฯจะปรับขึ้นไปสู่เป้าหมายที่มองไว้ที่ 1,670 จุด ตอนนี้ตลาดสหรัฐเป็นขาลง แม้จะการฟื้นตัวขึ้นได้บ้างแต่ก็เป็นการฟื้นตัวในทิศทางขาลง หากเงินเฟ้อปรับตัวลง ตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนจากขาลงเป็นแกว่งไซด์เวย์ ปัจจัยที่กดดันตลาดยังเป็นเรื่องเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดขนาดงบดุลด้วย ทำให้สภาพคล่องไม่มากเหมือนเดิม อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยจะได้รับปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นชัดในไตรมาส 4 อาจทำให้ดัชนีฯวิ่งเข้าใกล้ระดับ 1,700 จุดได้ ดังนั้นจึงมองทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4/65 จะดีขึ้น
พร้อมแนะนำหุ้นเด่น 10 ตัวน่าลงทุนในครึ่งหลังปี 65 ได้แก่ หุ้น BBL, CK, CPN, MAKRO, ORI, SAPPE, PR9, SHR, TFG และ SISB ซึ่งต่างก็เป็นหุ้นจำพวก Domestic plays และหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง
ด้านบล.ทรีนีตี้คาดกช่วงแรกของไตรมาสที่ 3/2565 จะยังเป็นช่วงเวลาซึมๆและอ่อนแรงของตลาดหุ้นไทย จากทั้งปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ นโยบาย ค่าเงิน และสภาพคล่อง จะเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านความกลัวจากประเด็นเฟ้อสูงและนโยบายการเงินที่เข้มงวด ข้ามไปสู่ความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวมากขึ้น ซึ่งหากมีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนมากขึ้น จะเห็นระลอกของการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตระยะยาวที่มากขึ้นได้(The Great Rotation) ดังนั้นนักลงทุนสามารถ Overweight การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวได้
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น ควรเน้นการตั้งรับและรอการเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสม หรือในช่วงเวลาที่ Valuation ลงมาในระดับที่น่าจูงใจ มองกรอบแนวรับแรกที่น่าสนใจ บริเวณ 1,500-1,530 จุด ส่วนระดับแนวรับสำคัญ ที่ไม่น่าหลุดบริเวณ 1,460-1,500 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่ทำให้ SET กลับมามีความน่าสนใจอย่างมาก ทั้งในมิติของPBV, PE และ Earning yield gap หากดัชนีจะกลับมาไต่ระดับขึ้นได้อีกครั้งจะต้องอาศัยการไหลเข้าของฟันด์โฟลว์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งประเมินว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลาง-ปลายไตรมาส 3 นี้เป็นอย่างเร็ว
บล.ทรีนีตี้แนะนำหุ้น Top picks ในไตรมาส 3/2565 ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, CPF, GPSC, JMT, OR, RATCH, WHAUP ที่ยังมีระดับ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลังทุกตัว
ด้านตลาดหุ้นวันที่ 28 มิ.ย. 2565 ดัชนียังคงบวกต่อปิดที่ระดับ 1,594.47 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด หรือ +0.90% มูลค่าซื้อขาย 60,346.04 ล้านบาท ด้วยแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติติดต่อเป็นวันที่สองจำนวน 2,641.26 ล้านบาท เน้นหุ้นในกลุ่มพลังงาน ด้านนักลงทุนไทยขายต่อ 2,944.71 ล้านบาท