HoonSmart.com>>บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เดินหน้าธุรกิจสู่การเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่หนึ่งในใจคนไทย ชูกลยุทธ์มุ่งสร้างโอกาสลงทุนที่เท่าเทียม เร่งปรับการทำงานสู่องค์กรรุ่นใหม่ สร้างผู้บริหารนิวเจน ต่อยอดบริการดิจิทัลเวลท์ ให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา ล่าสุด ผนึกยักษ์ใหญ่ที่ปรึกษาลงทุนระดับโลก”บีเอ็นวาย เมลลอน ไอเอ็ม” เสริมความแข็งแกร่งบริหารความมั่งคั่ง ยกระดับพอร์ตลูกค้าสู่การลงทุนแบบไร้พรมแดน ด้านธุรกิจ IB คาดปี 65 เป็นที่ปรึกษาการเงิน IPO 2 บริษัท ปี 66 ไม่น้อยกว่า 4 บริษัท ชูจุดแข็งเครือข่ายกว้าง สร้างโอกาส M&A ให้บริษัทไทยผงาดระดับโลก
นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST ถือหุ้นโดย เมย์แบงก์ ธนาคารอันดับ 1 ของมาเลเซียกล่าวว่า เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจการเงินในประเทศไทยมากว่า 30 ปี มีผลการดำเนินการเติบโตต่อเนื่อง และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจากรุ่นสู่รุ่น โดยล่าสุดได้รับรางวัล Best Retail Broker และ Best Institutional Broker ประจำปี 2022 จากเวที Alpha Southeast Asia Awards ในการจัดอันดับสถาบันการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ที่โลกได้เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการด้านการลงทุนของลูกค้าก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อธุรกิจได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เมย์แบงก์ ฯ เดินหน้าปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง มองเห็นถึงโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งต่อข้อมูลและเพิ่มโอกาสการลงทุนให้กับทุกคนได้อย่างเท่าเทียม จึงเดินหน้าปรับองค์กรภายใต้แนวคิด “Opportunity of Change” มุ่งสร้างโอกาสทางธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยมุ่งพัฒนาใน 3 ด้าน ได้แก่
ภาพลักษณ์ (New Brand) โดยได้ Rebranding เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ไปเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา และค่อยๆปรับภาพลักษณ์ให้ดูสดใส มีชีวิตชีวา เน้นสร้างแรงบันดาลใจเชิงบวก แต่ยังคงความเป็นมืออาชีพที่น่าเชื่อถือการบริหารงานในองค์กร มีการเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้าสู่องค์กรจำนวนมาก ด้วยโครงการสร้างการทำงานที่ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ต่างๆได้มีประสิทธิภาพ และปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงานสไตล์พื้นที่เปิดเพื่อเอื้ออำอวยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงเน้นความเป็นมืออาชีพสูงสุดการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ที่ตอบโจทย์ตรงใจนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งลูกค้ารายบุคคลและลูกค้าสถาบัน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับลูกค้าได้
ส่วนของการบริการยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชั่น “Maybank Invest (MBI)” เครื่องมือใหม่ที่จะเป็นตัวช่วยให้ลูกค้าสามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆได้ครบจบใน Application เดียว ครอบคลุมทั้ง หุ้น, กองทุน, ตราสารหนี้ และอื่นๆมากมาย ทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังจะมีการนำข้อมูลของลูกค้าในส่วนต่างๆ ผ่านระบบประมวลผลอัจฉริยะ (AI) เพื่อทำให้นักลงทุนสามารถจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนได้ตรงตามความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หลากหลายฟังก์ชันด้านการลงทุน เพื่อตอบสนองทุกความต้องการ และอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดใช้บริการได้อย่างเป็นทางการภายในไตรมาสสามของปีนี้
นอกจากนี้ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ยังได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายทางธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาใน 3 มิติ ได้แก่ การลงทุนที่มั่งคั่งอย่างยั่งยืน ผ่านการให้ความรู้ด้านการลงทุนที่ถูกต้องและปลอดภัยทั้งแก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไป การดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด การสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืน โดยสนับสนุนเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนผ่านการลงทุนในธุรกิจที่ไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมในองค์กร ทั้งนี้ ได้มีการวัดผลด้านความยั่งยืนในระดับโลกภายใต้ธุรกิจในเครือเมย์แบงก์ทั้งหมด
“การลงทุนในประเทศไทย เน้นเพียง หุ้น กองทุน และตราสารหนี้ ไม่เหมือนต่างประเทศที่กระจายพอร์ตมากกว่า ซึ่งเมย์แบงก์จะให้บริการที่มีความเท่าเทียมและทั่วถึง ช่วยให้นักลงทุนทุกคนมีโอกาสลงทุน ไม่ว่าจะมีเงินเท่าไร โดยพิจารณาตามความเสี่ยงและเป้าหมายของแต่ละคน เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น คาดว่าจะมีฐานลูกค้ารายใหม่เข้ามาใช้บริการเป็นหลักแสนราย ในระยะยาวจะเติบโตเป็น 5 เท่าจากปัจจุบัน “นายอารภัฏกล่าว
นายธีร์ จารุศร กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่าย Investment Banking and Capital Markets บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี 2565 บริษัทฯเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 2 บริษัท และในปี 2566 จะมีไม่น้อยกว่า 4 บริษัท บางบริษัทมีมาร์เก็ตแคป 1 หมื่นล้านบาท และ 3 หมื่นล้านบาท สำหรับธุรกิจเคมิเคิล การนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ถือว่าเร่งตัวขึ้น ก่อนที่ทางการจะเริ่มใช้เกณฑ์การยื่นไฟลิ่งใช้งบการเงินอย่างน้อย 3 ปี ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
ส่วนธุรกิจซื้อ ควบรวมกิจการ หรือ M&A มีบริษัทไทยสนใจลงทุนบริษัทในต่างประเทศจำนวนมาก โดยบล.เมย์แบงก์มีจุดแข็งที่มีแม่ เป็นธนาคารเมย์แบงก์ ใหญ่ที่สุดในมาเลเซียและใหญ่อันดับที่ 4 ในเอเชีย สร้างโอกาสในการลงทุนได้มากขึ้น
” เราเก่งในเอเชีย และมีเครือค่ายกว้าง สามารถให้คำแนะนำลูกค้าให้มีโอกาสลงทุนไปทั่วโลก “นายธีร์กล่าว
ล่าสุด เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประกาศความร่วมมือกับ บีเอ็นวาย เมลลอน ไอเอ็ม (BNY Mellon IM) ผู้บริหารสินทรัพย์ทั่วโลกมูลค่ากว่า 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ พันธมิตรด้านการลงทุนระดับโลก ซึ่งจะช่วยมอบความเชี่ยวชาญให้แก่ลูกค้า ผ่านการพัฒนาบริการด้านโมเดลพอร์ตการลงทุน โดยจะนำเสนอพอร์ตการลงทุน 5 พอร์ตฯ ที่มีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน และอีก 5 พอร์ตที่มีระดับความผันผวนที่แตกต่างกัน BNY Mellon IM จะให้การสนับสนุน เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในการสร้างและดูแลโมเดลพอร์ตการลงทุน ซึ่งรวมถึงการกระจายทรัพย์สิน การบริหารความเสี่ยง และการคัดเลือกผู้จัดการ ซึ่ง เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญดังกล่าวในการคัดเลือกและปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้าในตลาดประเทศไทย
มร. โดนี่ ชามซูดิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก BMY Mellon Investment Management กล่าวว่า ด้วยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับโลก BNY Mellon Investment Management มีความยินดีที่จะมอบโซลูชั่นด้านการลงทุนที่ออกแบบตามความต้องการของลูกค้า เพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนโมเดลพอร์ตการลงทุนสำหรับลูกค้าในประเทศไทย
“ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจบริการให้คำปรึกษาการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่ง เสริมให้ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มีความพร้อมในการนำเสนอข้อมูลทางเลือก เพิ่มคุณค่าการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ซึ่งช่วยให้บริษัทได้พัฒนาธุรกิจการจัดการความมั่งคั่งและการลงทุน เดินหน้าตามวิสัยทัศน์สู่การเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่หนึ่งในใจคนไทย” นายอารภัฏ กล่าวสรุป