แบงก์กรุงศรี ชี้กนง.คงดอกเบี้ย 1.50% เสียงโหวตขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 2 เสียงจากประชุมก่อนหน้า หนุนเงินบาทแข็งค่ารอบ 3 เดือนแตะ 32.47 ต่อดอลลาร์
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีความเห็นต่อผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่า กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% นับเป็นการตรึงดอกเบี้ยครั้งที่ 27 ภายหลังการลงมติอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ 5 ต่อ 2 โดยมีกรรมการ 2 ท่านโหวตให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าและแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ 32.47 ต่อดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปี เงินบาทแข็งค่า 0.2% เทียบกับดอลลาร์ ซึ่งปรับตัวได้ดีกว่าสกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ แม้ว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นในเรื่องสงครามการค้าระหว่างประเทศ
คณะกรรมการ กนง. มองว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามแรงส่งจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่การส่งออกสินค้าอาจชะลอลงบ้างจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่การย้ายฐานการผลิตของบางอุตสาหกรรมมายังไทยจะลดผลกระทบได้บ้าง ส่วนแรงกดดันด้านราคา กนง. กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจปรับขึ้นได้ช้ากว่าที่ประเมินไว้ แต่ยังคงคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2561 ที่ระดับ 4.4% และคงคาดการณ์อัตราการเติบโตของยอดส่งออกและอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 9.0% และ 1.1% ตามลำดับ
นอกจากนี้ คณะกรรมการ กนง. มองว่า จำเป็นต้องจับตาการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท หลังจากที่ตลาดมองว่าเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย และมีการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกนง. ยังคงระมัดระวังต่อการประเมินความเสี่ยงที่ต่ำกว่าควร ซึ่งเป็นผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
คณะกรรมการกนง. มีกำหนดการประชุมรอบถัดไปในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่าผลการลงมติในวันนี้เป็นเหมือนการเปิดทางไปสู่การเริ่มวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และนับเป็นครั้งแรกที่ กนง. ระบุชัดเจนในแถลงการณ์ว่า การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะทยอยลดความจำเป็นลง
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์คาดว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน ด้วยปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้น การสร้างความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต และแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ขณะที่ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ