บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เหมาะนักลงทุนระยะยาว รับความเสี่ยงได้ต่ำ ผลตอบแทนไม่สูง มากกว่าพันธบัตรระยะยาวและเงินฝาก ชี้ชอบแนวเติบโต แนะ CPNREIT -BTSGIF – DIF
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ออกบทวิเคราะห์การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยระบุว่า กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวที่รับความเสี่ยงได้ต่ำเนื่องจากสินทรัพย์มีการเติบโตไม่สูงและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าแค่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวและเงินฝาก แต่หากเปรียบเทียบกับ IFF กองอื่นถือว่าผลตอบแทนต่ำกว่า
ทั้งนี้ TFFIF คาดว่าประชาชนทั่วไปจะสามารถจองได้ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ต.ค. โดยการลงทุนในครั้งที่ 1 จะลงทุนในรายได้ 45% จาก 2 สินทรัพย์รวมระยะทาง 83.2 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 30 ปี คือ 1) ทางพิเศษฉลองรัช ระยะทาง 28.2 ก.ม. เชื่อมต่อถนนวงแหวนอุตสาหกรรมรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออกบริเวณจตุโชติ เข้ากับทางพิเศษเฉลิมมหานครบริเวณอาจณรงค์และทางพิเศษบางนา-อาจณรงค์ 2) ทางพิเศษบูรพาวิถี ระยะทาง 55 ก.ม. ซึ่งเป็นทางยกระดับที่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางที่มีระยะยาวที่สุดในประเทศไทยและมีจุดเริ่มต้นจากปลายทางพิเศษมหานครบริเวณบางนาไปทางทิศตะวันออกข้ามแม่น้ำบางปะกง สิ้นสุดที่ จ.ชลบุรี
สำหรับขนาดกองทุนเบื้องต้นที่คาดว่าประมาณ 30,000 ล้านบาทและผลตอบแทน 3% ต่อปี โดยสัดส่วนนักลงทุนจะเป็นนักลงทุนรายย่อยในประเทศ 60% โดยเงินทุนที่ระดมได้จะนำไปลงทุนในโครงการ 1) ทางด่วนพระราม 3 ดางคะนอง วงแหวนรอบนอก และ ขั้นที่ 3 ของสายเหนือ N2 East-West คอริดอร์ ตะวันออก โดย TFFIF ได้ระบุว่าอาจมีลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตในกองทุน
อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมาหลายกองทุนได้ทำราคา New High เช่น CPNREIT, IMPACT และ DIF ซึ่งการเปิดจอง TFFIF คาดว่าจะเห็นการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนในกลุ่มนี้ไม่มาก เนื่องจาก TFFIF มีขนาดไม่ใหญ่มากหากเทียบกับ IFF ที่มีอยู่ถือเป็นลำดับที่ 5 รวมทั้งผลตอบแทนที่คาดหวังถือว่าต่ำกว่า
“เรายังคงชอบกองทุนที่สามารถเติบโตกระจายควาเสี่ยงได้ดี ค่าเช่าเติบโต การเข้าใช้พื้นที่และการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ เช่น CPNREIT, BTSGIF และ DIF”บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุ