HoonSmart.com>> “ฑีฆาก่อสร้าง ย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสุดแกร่ง เคาะราคาไอพีโอ 4.60 บาท/หุ้น นำเงินที่ได้จากการระดมทุนกว่า 328 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เปิดจองซื้อ 2 – 8 มิ.ย.นี้ ปักธงเทรดใน SET 15 มิ.ย.65 พร้อมขยายการเติบโต
นายวีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง (TEKA) ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า TEKA ได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายร่วม พร้อมด้วย ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จํากัด และ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 328.45 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับงานก่อสร้างที่อาจเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งในด้านจำนวนโครงการและมูลค่าโครงการ รวมถึงใช้ในการจัดหา ซ่อมแซม และปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์การก่อสร้างต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสการเข้าประมูลงานโครงการที่ทยอยออกมาเพิ่มขึ้น และสนับสนุนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายร่วม กล่าวว่า TEKA ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 75 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.60 บาท กำหนดเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอ วันที่ 2 – 8 มิ.ย.นี้ และกำหนดวันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 15 มิ.ย.2565 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายคือ TEKA เข้าเทรดในหมวดธุรกิจบริการรับเหมาก่อสร้าง
การกำหนดราคาไอพีโอที่ 4.60 บาทต่อหุ้น คิดเป็น P/E ที่ประมาณ 9.91 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นจากกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ มั่นใจว่า จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน จากภาพรวมอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่ถูกคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ และการเร่งลงทุนของภาคเอกชน หลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย
นายโยธิน วิริเยนะวัตร์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายร่วม กล่าวว่า การกำหนดราคาไอพีโอในครั้งนี้ ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ด้วยจุดเด่น TEKA เป็นหุ้นรับเหมาก่อสร้างที่อยู่ในใจของลูกค้ามาอย่างยาวนาน ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญ และอยู่ในวงการก่อสร้างมากว่า 38 ปี
พร้อมทั้ง กลยุทธ์ในด้านคุณภาพและการให้บริการอย่างเหนือระดับ และการขยายโอกาสงานก่อสร้างได้หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นโอกาส สะท้อนการเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตแบบ Growth Stock สอดรับกับการฟื้นตัวในภาพรวมของเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ตลอดจน งานภาคเอกชนที่มีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยไฮไรส์ (High-rise) ใหม่ๆ ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำต่างๆ จึงเป็นโอกาสของ TEKA เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของงานโครงการเหล่านี้ ประกอบกับนโยบายการจ่ายปันผลที่ดีในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% จึงมั่นใจว่า TEKA จะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีในระยะยาว
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน TEKA ได้จัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจ และโอกาสจากภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ฟื้นตัว โดย ณ วันที่ 31 มี.ค.2565 บริษัทฯ มีมูลค่างานที่ยังไม่ได้รับรู้รายได้รวม 1,689.24 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ อย่างไรก็ดี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 บริษัทฯ มีงานโครงการที่อยู่ในแผนการประมูลในปี 2565 จำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 15,400 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นอาคารประเภท อาคารที่อยู่อาศัย สำนักงาน อาคารเรียน และโรงแรม ซึ่งปกติแล้ว บริษัทฯ มีอัตราการชนะการประมูลงานอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ถึง 25 ของการเข้าร่วมประมูล
ด้านผลการดำเนินงานของ TEKA ที่มีความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเที่ยบกับอุตสาหกรรม โดยในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 600.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 440.64 ล้านบาท และบริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 53.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 40.41 ล้านบาท ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น 16.7% และอัตรากำไรสุทธิ 8.9%