HoonSmart.com>> “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้” ชี้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวสัปดาห์ก่อนแค่รับปัจจัยบวกระยะสั้น มองระยะกลางตลาดหุ้นยังไม่ใช่ขาขึ้น ปัจจัยลบรออยู่ ทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น เศรษฐกิจชะลอ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสลงอีก 8 – 10% แนะซื้อหุ้นเทคโนโลยี และเฮลธ์แคร์หลบภัย
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกพลิกกลับมาพื้นตัวแรง (รีบาวน์) หลังรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (Core PCE) ของสหรัฐฯ เดือนเมษายนได้ชะลอลงมาอยู่ที่ 4.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากเดือนมีนาคมที่อยู่ในระดับ 5.2% ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่า ตลาดหุ้นอาจจะไม่กลับมาเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน แม้อัตราเงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เกือบ 5% ในปัจจุบันยังนับว่าสูงและเกินกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ของ Fed เป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ Fed ยังน่าจะคงยืนยันจะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เร็วกว่าปกติ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% ต่อการประชุมในแต่ละครั้งไปจนกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปถึง 2% เป็นอย่างน้อย
นอกจากนั้นยังมองว่า ตลาดหุ้นจะถูกกดดันเพิ่มเติมจากตัวเลขเศรษฐกิจที่จะเริ่มชะลอลงตามกำลังซื้อที่ลดลงหลังราคาสินค้าและบริการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับแรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น
ในด้านมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะปรับฐานลงมาต่ำกว่าจุดสูงสุดอยู่เกือบ 15% แต่ Valuation ยังไม่ถูกเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล โดย Earning Yield Gap (EYG) หรือคาดการณ์อัตราผลกำไรของตลาดหุ้น (Earning Yield หรือส่วนกลับของค่า P/E Ratio) หักลบด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 3% ใกล้เคียงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งชี้ว่าผลตอบแทนคาดหวังจากตลาดหุ้นนั้นยังไม่น่าสนใจนักเมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
ในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงตามที่ประเมิน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ลงทุนทิสโก้คาดว่า EYG จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับราว 3.6% เท่ากับช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวปลายปี 2561 ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวลง (Downside Risk) ราว 8 – 10% โดยคาดว่า ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 จะลงไปเทรดที่ระดับราว 3,800 จุด
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ในจังหวะนี้แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเริ่มฟื้นตัวหลังเริ่มเห็นสัญญาณว่า Bond Yield ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และหุ้นในกลุ่มเฮลธ์แคร์ ซึ่งไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก