BTS กำไรงวดปีเหลือ 3,825 ลบ. ปันผล 0.16 บาท XD 3 ส.ค.นี้

HoonSmart.com>> “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” เปิดผลงานปี 64/65 สิ้นสุด 31 มี.ค. กำไรสุทธิ 3,826 ล้านบาท ลดลง 16% จากงวดปีก่อน รายได้รวม 31,195 ล้านบาท ลดลง 26% บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลอัตรา 0.16 บาท ขึ้น XD 3 ส.ค.65 ชงเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้น จัดสรรผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง เตรียมวงเงินออกหุ้นกู้ 90,000 ล้านบาท รองรับการลงทุน ขยายธุรกิจและชำระหนี้ ด้าน บล.กรุงศรี ชี้ BTS กำไรดีกว่าคาดจากกำไรพิเศษ คงคำแนะนำ “ซื้อ” คาดกำไรฟื้นตัว ราคาเป้าหมาย 12.60 บาท

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดปีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด วันที่ 31 มีนาคม 2565 กำไรสุทธิ 3,825.58 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.291 บาท ลดลง 16% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 4,576.27 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.348 บาท

บริษัทฯ มีรายได้รวม 31,195 ล้านบาท ลดลง 26% จากงวดปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการลดลงของ (1) รายได้จากการให้บริการรับเหมา 11,713 ล้านบาท จากการลดลงของรายได้งานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง รวมถึงรายได้จากการให้บริการติดตั้งงานระบบและการจัดหารถไฟฟ้าขบวนใหม่สำหรับโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือที่ลดลง เนื่องจากอยู่ในช่วงท้ายของการก่อสร้าง (2) กำไรจากการขายที่ดิน 1,497 ล้านบาท อย่างไรก็ดีการลดลงของรายได้รวมบางส่วนถูกชดเชยด้วย (3) รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น 2,744 ล้านบาท จากการควบรวมผลการดำเนินงาน Fanslink โดยวีจีไอ ซึ่งเริ่มควบรวมตั้งแต่เดือนส.ค.2564 และ (4) รายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น 522 ล้านบาท

คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2565 อนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.16 บาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 4 ส.ค. 2565 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 3 ส.ค. 2565 และจ่ายเงิน 23 ส.ค. 2565

พร้อมกันนี้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จํานวน 2,844 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจํานวน 71,193,673,956.00 บาท เป็น 74,037,673,956.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จํานวน 711 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท โดยจัดสรรหุ้นไม่เกิน 61 ล้านหุ้น รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกให้แก่พนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ครั้งที่ 7 (BTS-WG) ภายใต้โครงการ BTS Group ESOP 2022 โดยวอร์แรนต์มีอายุ 5 ปี ซึ่งบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปสำรองไว้ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ

พร้อมกันนี้อนุมัติการเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) โดยจัดสรรหุ้นสามัญที่เพิ่มทุนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 4.00 บาท เสนอขายให้กับบุคคลในวงจำกัด (PP) ทำให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวในการใช้แหล่งเงินทุน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแผนการลงทุนในอนาคตได้อย่างทันกาล แผนการลงทุนเพื่อขยายกิจการในอนาคตได้อย่างทันกาล โดยบริษัทฯ มีแผนการที่จะนำเงินทุนที่จะได้รับจากการเพิ่มทุนไปใช้ในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อขยายกิจการของบริษัทฯ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินกิจการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในอนาคต

ซึ่งหากมีการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมสภาพคล่องและความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ และยังเป็นการรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ให้อยู่ในระดับต่ำอีกด้วย

คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทวงเงินรวมทั้งสิ้น ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 90,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุน การขยายธุรกิจ การดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทฯ เพื่อใช้ในการชำระหนี้แลเไถ่ถอนหุ้นกู้เดิมของบริษัทและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

บล.กรุงศรี ระบุว่า กำไร BTS ออกมาใกล้เคียงคาดการณ์ของบล.กรุงศรี แต่ดีกว่าคาดการณ์ของตลาด จากกำไรพิเศษ 298 ล้านบาทจากการขายเครื่องมือทางการเงินและการกลับรายการตั้งสำรอง หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติที่ 515 ล้านบาท +2%yoy แต่ -18%qoq ต่ำกว่าคาดการณ์ของบล.กรุงศรีและตลาด โดยเชื่อว่ากำไรถูกกดดันจากกำไรจาก VGI และ BTSGIF ลดลง ซึ่งได้รับผลกระทบจากโอไมครอน ในช่วงม.ค. – มี.ค.2565

อย่างไรก็ตามแม้กำไรจะต่ำกว่าคาดแต่บล.กรุงศรีคงคาดการณ์กำไรปี 2022 เนื่องจากเรามองว่าโมเมนตัมกำไรจะเริ่มเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ 1QFY22 เป็นต้นไปจากการกลับเข้าเรียนในโรงเรียนและทำงานในออฟฟิศ

บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ ซื้อ BTS ราคาเป้าหมาย 12.6 บาท มองว่าราคาหุ้นปรับตัวลงในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนความกังวลกฎระเบียบของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนใหญ่แล้ว โดยเชื่อว่าไม่ว่า KT จะขยายสัมปทานให้ BTS หรือไม่จะไม่กระทบราคาเป้าหมาย เนื่องจากสมมติฐานของเราอ้างอิงสัญญาปัจจุบันที่จะจบลงในธ.ค.2572

นอกจากนี้เชื่อว่าผลกระทบเชิงลบต่อ BTS จะไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ เนื่องจากสัมปทานจะหมดอายุในปี 2572 และพื้นฐานที่ดีขึ้นของบริษัทควรจะสะท้อนในราคาก่อน