SCGC ผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ภูมิภาค เล็งเพิ่มผลิตเวียดนาม-ลงทุนอินโดฯ

HoonSmart.com>>”เอสซีจี เคมิคอลส์” พร้อมขาย IPO 3,855 ล้านหุ้น ประสบการณ์ธุรกิจเคมีภัณฑ์มา 40 ปี ปักธงผู้นำตลาดในระดับภูมิภาค ขายสินค้ากว่า 120 ประเทศทั่วโลก ฐานการผลิต 3 ประเทศในอาเซียน เดินหน้านวัตกรรมเคมีภัณฑ์ตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก มีศักยภาพ-โอกาสเติบโตทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว  ค่าเงินบาทอ่อนทุก ๆ 1 บาท มีผลต่อกำไร 800-1,000 ล้านบาท/ปี

นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เปิดเผยว่า SCGC ดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์มา 40 ปี ตั้งแต่ยุคบุกเบิกธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทย และได้ขยายการลงทุนในประเทศไทยและในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้นำตลาดเคมีภัณฑ์ในระดับภูมิภาค ที่มุ่งสร้างการเติบโตควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน

ปัจจุบันบริษัทฯจัดจำหน่ายสินค้าในกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่โมโนเมอร์ต้นน้ำและพอลิเมอร์ปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องของปิโตรเคมี และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป มีกำลังการผลิตรวม 6.9 ล้านตันต่อปี คิดเป็นส่วนแบ่งกำลังการผลิตในภูมิภาคอาเซียน ราว 19% หรือเกือบ 1 ใน 5 ณ สิ้นปี 2564

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของ SCGC คือ การมีฐานผลิตใน 3 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งมีประชากรรวมกันประมาณ 440 ล้านคน หรือประมาณ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในอาเซียน มีสัดส่วนรายได้จากอาเซียน คิดเป็นประมาณ 21% โดยประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตหลัก ในอินโดนีเซียลงทุนผ่านการถือหุ้น 30% ใน Chandra Asri PetrochemicalTbk (CAP) และในเวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ LSP คอมเพล็กซ์ ปิโตรเคมี (Long Son Petrochemical Complex) ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นรายแรกที่เข้าไปลงทุน (first mover)

ตลาดในภูมิภาคอาเซียนมีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยคาดการณ์เวียดนามและอินโดนีเซียจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) 56% ต่อปี ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า มากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของ GDP ทั่วโลกเกือบเท่าตัว นอกจากนี้ อัตราการใช้พอลิเมอร์ในภูมิภาคอาเซียนณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 26 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา 2-3 เท่า ตลาดอาเซียนจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

ปัจจุบันเวียดนามยังต้องนำเข้าพอลิเมอร์ประมาณ 75% และอินโดนีเซียประมาณ 50% ซึ่งเป็นโอกาสของ SCGC ที่จะใช้ความได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตในกลุ่มประเทศดังกล่าว และสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่า

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และธุรกิจของ SCGC ถือว่ามีศักยภาพและโอกาสการเติบโตทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว จะถูกขับเคลื่อน และได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ที่สำคัญ ๆ ของโลกและภูมิภาคอาเซียน เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างพื้นฐาน จากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด และการดูแลรักษาสุขภาพ เป็นต้น จะกระตุ้นให้เกิดการความต้องการใช้เคมีภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนานวัตกรรมของ SCGC ที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) รวมถึงการพัฒนา Green Innovation เช่น พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้าน Low Carbon โดยในปี 2564 บริษัทฯ มีสัดส่วนสินค้า HVA ประมาณ 36% ของรายได้รวมและยังจะขยายสินค้าในกลุ่มพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็น 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573

นายธนวงษ์ กล่าวว่า บริษัทยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ตลอดซัพพลายเชน โดยนำ Data Technology มารวมกับ Operational Technology เพื่อยกระดับ Operational Excellence ไปอีกขั้น อีกทั้งการนำระบบ Machine Learning มาใช้ เพื่อคาดการณ์ราคาวัตถุดิบ การใช้ Optimization Model เพื่อตัดสินใจเดินเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบ Realtime Performance Management เพื่อให้เห็นข้อมูลการเดินเครื่องจักรอย่างรวดเร็วสามารถปรับเปลี่ยนการผลิตให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดได้อย่างทันท่วงที รวมถึงระบบ Digital Reliability Platform (DRP) ช่วยดูแลการบริหารจัดการประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักรแบบครบวงจร เพื่อช่วยให้สามารถเดินเครื่องจักรได้ดี บำรุงรักษาเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระบบ Digital Commerce Platform (DCP) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายและทำให้ตอบสนองลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

สำหรับการก่อสร้างโครงการ LSP ในเวียดนาม คาดใช้เงินลงทุนปีนี้อีกราว 50,000 ล้านบาท จะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในครึ่งแรกของปี 2566 ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรวมกว่า 40% เป็น 9.8 ล้านตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ 6.9 ล้านตัวต่อปี  นอกจากนี้ยังมีแผนขยายไปสู่โครงการ LSP เฟส 2  ปัจจุบันโครงการ LSP 1 ทดแทนการนำเข้าไม่ถึง 30% ทำให้ยังต้องมีการนำเข้าอีก 70% หากในปีถัดไปโครงการ LSP 2 เกิดขึ้นก็จะช่วยตอบโจทย์ดังกล่าวได้

ด้านโรงงานผลิตที่อินโดนีเซียที่เป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรอีก 2 ราย โดย SCGC ถือหุ้นราว 30% ก็มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนได้ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า และน่าจะใช้เงินลงทุนทั้งโครงการราว 1 แสนล้านบาท

นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน SCGC กล่าวว่า การนำ SCGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ   ยื่นไฟลิ่งแล้ว ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ก.ล.ต. บริษัทมีแผนนำเงินไปใช้ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว โดยหลักจะนำไปปรับโครงสร้างทางการเงิน คืนเงินกู้ให้แก่บริษัทแม่ หรือ ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) ที่ได้นำมาลงทุนโครงการ LSP ในเวียดนาม มูลค่าเงินลงทุนราว 1.6-1.7 แสนล้านบาท เพื่อให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจาก 1 เท่า และช่วยให้บริษัทสามารถระดมทุนในช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับการลงทุนโครงการในอนาคต อีกทั้งจะใช้ขยายธุรกิจเพื่อตอบสนองต่อลูกค้า และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน

ทั้งนี้  SCGC มีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 3,854,685,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท (รวมจำนวนหุ้นที่ผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Agent) อาจใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจาก SCGC ในกรณีที่มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment))  คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.2% ของทุนชำระแล้วภายหลังขาย IPO

แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/65 ยังมีปัจจัยที่ท้าทายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น เงินเฟ้อ การล็อกดาวน์ในจีน ที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการ  แม้บริษัทจะปรับราคาขายเพิ่มขึ้น แต่ก็เพิ่มไม่ได้มาก จากความผันผวนของปัจจัยภายนอกประเทศ  บริษัทจึงกลับมาเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตลดต้นทุนทุกส่วนลงด้วย

“เราได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งทุกๆ 1 บาท มีผลต่อกำไร 800-1,000 ล้านบาท/ปี จากปัจจุบันมียอดขายในต่างประเทศและในประเทศสัดส่วน 50:50” นายกุลเชฏฐ์ กล่าว