ESSO-TOP ขึ้นนำกลุ่มโรงกลั่น ไฟไหม้โรงกลั่นใหญ่ช่วย

HoonSmart.com>>หุ้นในกลุ่มพลังงานขยับขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น นำโดย ESSO-TOP ได้ประโยขน์จากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงกลั่น S-Oil ส่งผลกระทบต่อซัพพลายปิโตรเลียมปิโตรเคมีทั่วโลก มอง TOP เด่นมีทั้งปิโตรเลียม, PX, BZ, Lube และ IRPC ที่ได้ PP, BZ ตามลำดับ ด้าน”ไทยออยล์ “(TOP) คาดจะกระทบต่อหน่วยการผลิตแก๊สโซลีน-อะโรเมติกส์บางส่วน ราคาน้ำมันเบนซินในภูมิภาคตึงตัว จะเป็นปัจจัยหนุนมาร์จิ้นยืนสูงต่อเนื่องส่วนผลงานไตรมาส 2/65 โต จาก GIM ยังดี-บุ๊กกำไรขายหุ้น GSPC หนุน

ดัชนีกลุ่มพลังงานปิดเช้าที่ 24,568.42 จุด เพิ่มขึ้น 200.46 จุด หรือ +0.82% หุ้นในกลุ่มฯต่างขยับขึ้นกันทั่วหน้า โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นขยับขึ้นได้ดี นำโดยหุ้น ESSO บวก 2.09% มาอยู่ที่ 9.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 132.86 ล้านบาท
หุ้น TOP บวก 1.31% มาอยู่ที่ 58.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 182.42 ล้านบาท

วานนี้โรงกลั่นของ S-Oil (โรงกลั่นในประเทศเกาหลี) เกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยยังไม่ระบุว่าหน่วยกลั่นใดที่ได้รับความเสียหายบ้าง ความเสียหายรุนแรงเท่าใด ต้องใช้เวลาซ่อมแซมเท่าใด

นายณัฐพล นพรัตน์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการพาณิชย์ บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า เหตุระเบิดโรงกลั่น Onsan ของบริษัท S-Oil ซึ่งเป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศเกาหลีใต้ มีหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ 3 หน่วย โดยมีกำลังการผลิตรวม 580,000 บาร์เรล/วัน คาดว่าจะกระทบต่อหน่วยการผลิตแก๊สโซลีน และอะโรเมติกส์บางส่วน และในช่วงที่ราคาน้ำมันเบนซินในภูมิภาคที่ปัจจุบันตึงตัวอยู่แล้ว ก็จะเป็นปัจจัยหนุนให้มาร์จิ้นยืนในระดับสูงต่อเนื่อง

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/65ของ TOP คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/65 จากอัตรากำไรรวม (GIM) ยังอยู่ในระดับที่ดี เพราะได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันฟื้นตัว หลังหลายประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด และภาวะอุปทานตึงตัวจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และจะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เข้ามาในไตรมาส 2/65 โดยจะรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนและกำไรจากการเปลี่ยนแปลงบันทึกบัญชีเงินลงทุน GPSC ประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะหนุนผลประกอบการให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ด้านความต้องการใช้น้ำมันปีนี้คาดว่าจะเติบโตกว่าปีก่อน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะเติบโตราว 2-3 ล้านบาร์เรล/วัน หลักๆ เป็นเรื่องของการปลดล็อกดาวน์ของหลายประเทศ ส่งผลให้การเดินทางกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตามหากดูซัพพลายและดีมานด์ ภาพรวมในไตรมาส 2/65 จะเห็นว่าตลาดเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น และคาดจะดีต่อเนื่องไปในครึ่งปีหลังนี้

สำหรับภาพรวมตลาดปิโตรเคมี โดยอะโรเมติกส์ ยังอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย ทำให้กดดัน Spread Px และเบนซีน แต่ในช่วงสั้นคาดรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง เนื่องจาก Spread ที่ปรับตัวลงต่ำ ก็จะมีการประกาศลดกำลังการผลิต ทำให้ซัพพลายหายไปจากตลาดได้บ้าง ส่วนภาพของโอเลฟินส์จะคล้ายกับอะโรเมติกส์ เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีนี้จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาทั้ง PE, PP ก็จะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของภูมิภาคเอเชียอยู่ในระดับต่ำ แต่คาดว่าในปี 67 เป็นต้นไป อัตราการใช้กำลังการผลิตจะเริ่มดีขึ้น รวมถึง Spread ด้วย ในส่วนของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) คาดว่าการดำเนินการเชิงพาณิชย์จะล่าช้าไปอีก 1 ปี หรือจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 67 จากเดิมคาดปี 66 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ต้องปิดงานก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมา

บล.โนมูระ พัฒนสิน มองบวกต่อแนวโน้มที่สเปรดปิโตรเลียมและปิโตรเคมีอาจปรับตัวขึ้น จากซัพพลายที่ตึงตัวมากขึ้น เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้โรงกลั่น S-Oil มองยังประเมินผลกระทบต่อซัพพลายปิโตรเลียมปิโตรเคมีทั่วโลกได้จำกัดจากยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดความเสียหายและการซ่อมแซม เบื้องต้นคาดกลุ่มที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์มากสุดจะเป็นกลุ่มโรงกลั่น ที่เดิม supply ทั่วโลกตึงตัวอยู่แล้ว รองลงมาเป็นปิโตรเคมีที่อาจได้ประโยชน์ในระยะสั้น เพราะ PX/BZ/PP มี oversupply อยู่ เมื่อสเปรดปรับเพิ่มขึ้น โดยคาดกำลังการผลิตส่วนเกินโดยเฉพาะในจีนและมาเลเซียจะเริ่มผลิตมากขึ้นส่วนฝั่งน้ำมันดิบมองเป็นผลเชิงลบ เพราะความต้องการ (demand) น้ำมันดิบอาจหายไปจากโรงกลั่น S-Oil โดยหากคิดที่กำลังการกลั่น 669 KBD จะคิดเป็นราว 0.8% ของการใช้น้ำมันดิบทั่วโลก ทั้งนี้คาดกำลังการผลิตโรงกลั่นของ S-Oil คิดเป็นราว 0.7% ของกำลังการผลิตโรงกลั่นทั่วโลก ส่วน PX/BZ/PP คิดเป็นราว 2.5%/ 0.9%/ 0.4% ของกำลังการผลิตทั่วโลก

พร้อมมอง TOP ที่ได้ประโยชน์ทั้งปิโตรเลียม, PX, BZ, Lube และ IRPC ที่ได้ PP, BZ จะเด่นตามลำดับ ส่วน IVL อาจได้รับผลเชิงลบเล็กน้อยจาก feedstock ของ PET อย่าง PX ที่ราคาอาจสูงขึ้นในระยะสั้น (การขาย 50% ของ PET ของ IVL ไม่ได้เป็น fixed margin)

บล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเชิงบวกต่อข่าวนี้สำหรับกลุ่มโรงกลั่น แม้ว่ายังไม่ทราบว่าโรงกลั่นนี้จะต้องมีการปิดเพื่อตรวจสอบเป็นระยะเวลาเท่าไร แต่เราเชื่อว่าจะทำให้อุปทานผลิตภัณฑ์น้ำมันยิ่งลดลงไปอีก จากเดิมระดับปริมาณสินค้าคงคลังทั่วโลกก็ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอยู่แล้ว ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นกลุ่มโรงกลั่น คือ TOP “ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 76.00 บาท และ SPRC “ซื้อ”ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท โดยเชื่อว่าหุ้นกลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่สูงเป็นสถิติในไตรมาส 2/65