บล.กสิกรฯแนะรอซื้อ 17 หุ้นเด่น เงินเฟ้อกดกำไรบจ.-ดัชนีปีนี้

HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยเตือนหุ้นร่วง อย่าเพิ่งรีบเข้าไปรับ จับตาเงินเฟ้อสหรัฐกดดันถึงต้นไตรมาส 3 มองแบงก์-อสังหาฯ-ปันผลสูงเด่น เชียร์ BE8, RBF, CHAYO, KKP , KTB , DCC, DTAC , GPSC, EPG, BH, MINT, SHR , SPRC, ASIAN, SAPPE, SCGP เงินเฟ้อสูงหั่นเป้ากำไรปีนี้ลง 1-2% ดัชนีเหลือ 1,650 จุด แบงก์กสิกรไทยคาดเห็นค่าเงิน 35 บาท ธปท.ปรับขึ้นดอกเบี้ยไตรมาส 4  บล.โนมูระฯเผยบจ.กวาดกำไร 2.88 แสนล้านบาท Q1/65

นายภาสกร ลินมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา Economic Outlook Thailand Forecast ว่า สถานการณ์ปัจจุบันการลงทุนในหุ้นยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าตราสารหนี้และทองคำ แต่หุ้นลงอย่าเพิ่งเข้าไปรับ ตลาดในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงกลางไตรมาส 3 ยังเจอแรงกดดันมาก ตลาดกำลังหาจุดลงตัวที่สำคัญ คือ เงินเฟ้อจะพีคที่เท่าไหร่และเมื่อไหร่ ก็จะรู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยเท่าไหร่ จะสามารถประเมินว่าจะต้องปรับพอร์ตกันอย่างไร โดยคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐปีนี้จะจบที่ 3.00% ปรับขึ้นครั้งละ 0.5% ในช่วง 4 เดือน(พ.ค.-ก.ย.) และปรับครั้งละ 0.25% ในเดือนพ.ย.และธ.ค.นี้

ทั้งนี้ หากเงินเฟ้อลดลงในเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้ ก็จะเป็นข่าวดี ปีหน้าลดเหลือ 3-4% ตลาดน่าจะมีเสถียรภาพ ซึ่งตลาดเกิดใหม่ที่มีคุณภาพสูงน่าสนใจมากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว ปีนี้เป็นปีของหุ้นวัฏจักร เช่น ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ จะดีกว่าหุ้นกลุ่มเติบโต รวมถึงหุ้น Quality ที่มีปันผลสูง ก็จะดีกว่าหุ้น Momentum

สำหรับตลาดหุ้นไทย ยังมีมุมมองบวก แม้ปรับลดเป้าหมายดัชนีปีนี้ลง จาก 1,680 จุดเป็น 1,650 จุด เพราะมีปัจจัยบวกเรื่องเศรษฐกิจฟื้นตัว นักท่องเที่ยวกลับมา 4-5 ล้านคน และดอกเบี้ยต่ำ แต่ก็มีปัจจัยลบ 5 ประเด็น คือ เงินเฟ้อสูงอยู่ที่ 4-5% ผลกระทบจากสงคราม การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นปีนี้ลง 1-2% จากที่เคยประมาณการโต 5% เหลือ 3-4% มาร์จิ้นโลน ที่ผ่านมามีการเก็งกำไรมาก เป็นความเสี่ยงของตลาด ส่วนความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย ในปีนี้จะมีโอกาสเกิดต่ำ  น่าจะเกิดขึ้นในปี 2566

นายภาสกรแนะนำการเลือกลงทุนใน 5 ธีม เช่น ธุรกิจเติบโต ผลตอบแทนปันผลสูง กลุ่ม Anti คอมมูนิตี้ เพราะได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงมานาน อาทิ GPSC ,EPG ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่อั้นไว้ ในกลุ่มโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ขนส่ง อาทิ BH ,MINT ,SHR ,BEM ,SPRC รวมถึงธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อน-ค่าขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ลดลง อาทิ ASIAN,SAPPE,SCGP

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ปีนี้ เพื่อดูแลค่าเงินบาทมีเสถียรภาพดีขึ้น  รอบนี้มีโอกาสอ่อนตัวลงแตะ 35 บาทต่อดอลลาร์ จึงได้ปรับประมาณการเป้าหมายจาก 32.3 บาท เป็น 33.5 บาทภายในสิ้นปีนี้

” เงินบาทอ่อนส่วนหนึ่งเกิดจากการจ่ายเงินปันผลของบจ. เดือนเม.ย. – พ.ค. จ่ายเงินปันผล 7.5 หมื่นล้านบาท สัปดาห์นี้มีอีกไม่มาก คัสโตเดี้ยนต้องซื้อดอลลาร์โอนไปให้ต่างประเทศ หากท่องเที่ยวกลับมาช่วยเงินบาท ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลน้อยลง  และหากเฟดพูดถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้น ดอกเบี้ยอาจจะขึ้นไม่มากอย่างที่คิดก็ได้”นายกอบสิทธิ์กล่าว

ด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ในส่วน ธปท. มีการดำเนินงานภายใต้กรอบนโยบายการเงิน รวมถึงการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอย่างยืดหยุ่น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเฟด

การดำเนินนโยบายในเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น ธปท. จะพิจารณาจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก 3 ด้าน คือ 1.อัตราเงินเฟ้อ 2.เสถียรภาพระบบการเงิน และ 3.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยก็จะไม่ตัดทิ้ง ยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้การที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้น ทำให้ ธปท. จำเป็นต้องจับตาใน 2 ประเด็น คือ การเคลื่อนย้ายเงินทุน และเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทย แต่ในขณะนี้ในภาพรวมของเงินทุนเคลื่อนย้ายยังไม่พบความผิดปกติหรือน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังมีความเข้มแข็ง เพราะหนี้ต่างประเทศไม่สูงมาก อีกทั้งเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ยังอยู่ในระดับสูง

สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทในขณะนี้ ยังมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะจากทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินหยวนของจีน นับตั้งแต่ต้นปี เงินบาทอ่อนค่าลงไป 3% แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับคู่แข่ง และยังเป็นทิศทางเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาค

บล.โนมูระ พัฒนสิน รายงานว่า บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2565 ครบแล้วจำนวน 645 บริษัท  โดยรวมมีกำไรสุทธิ  2.88 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น+13%y-y,+6%q-q ส่วนหุ้นที่จะได้รับเลือกเข้าคำนวณดัชนี SET50/100 Rebalance รอบนี้ หากใช้ข้อมูลวันที่  1 มิ.ย. – 11 พ.ค. ยังขาดข้อมูลอีกราว 3 สัปดาห์ คาดว่าJMT, JMARTมี โอกาสเข้า SET 50 ส่วน RATCH, STGT ถูกคัดออก

สำหรับหุ้นที่คาดเข้า SET100 ได้แก่  TIPH, FORTH, AAV, ONEE, PSL, BYD,ASK ขณะที่ BPP, MAJOR, RS, SIRI, STEC, SYNEX,TTA ถูกคัดออก  ทั้งนี้ BLA มีโอกาสติด SET50  ถ้าหุ้น IRPC หรือ KCE underperform กว่าในเดือนนี้หรือ AWC พลิกหลุด (ให้โอกาส 10%)

ด้านการซื้อขายหุ้นวันที่ 19 พ.ค.2565 ท่ามกลางการทรุดลงรุนแรงของตลาดต่างประเทศ  นำโดยสหรัฐ ตามด้วยยุโรป และเอเชีย ดัชนีปรับตัวลงต่ำกว่า 1,600 จุด ก่อนฟื้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,605.98 จุด ลดลง 14.35 จุด หรือ -0.89% มูลค่าซื้อขาย 62,664.04 ล้านบาท  สถาบันไทยขาย 693 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขาย 432.44 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทย 1,045.74 ล้านบาท

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวลงเกือบ 1% ถือว่าแข็งกว่าตลาดต่างประเทศ โดยตลาดในภูมิภาคเอเชีย และตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ต่างก็ปรับตัวลงราว 1-2% จากความกังวลเงินเฟ้อสูงจะกระทบเศรษฐกิจโลก โดยตลาดหุ้นได้รับแรงหนุนจากการแถลงใหญ่ของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่ออกมายืนยันเศรษฐกิจไทยเติบโตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวสองไตรมาส ส่งผลให้หุ้นส่วนใหญ่ที่พยุงตลาดเป็นหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง อย่างเช่นหุ้น BTS, BEM, BH, BDMS, CPN เป็นต้น ที่แข็งแกร่งมาก

ขณะที่ Growth Stock ปรับตัวลงยกแผง รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่อาจจะชะลอตัวลง จากปัญหาเงินเฟ้อสูง แต่ก็ได้สะท้อนตลาดไปแล้ว ดังนั้นช่วงสั้น ๆ ดัชนีฯน่าจะแกว่ง Sideway จากเดิมที่ Sideway Down พร้อมให้ติดตามความเห็นของกรรมการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และติดตามเงินเฟ้อของยุโรปที่จะทยอยออกมา

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 20 พ.ค.2565 ตลาดคงจะแกว่ง Sideway แต่ก็ขึ้นกับทิศทางตลาดสหรัฐด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,600 จุด แนวต้าน 1,625 จุด