หุ้นเด้ง 30 จุดจากปรับฐานลึก ธปท.ลุ้น 2 ปัจจัยหนุนกำไรแบงก์

HoonSmart.com>>หุ้นไทยพุ่งแรง 1.90% ต่างชาติบุก 3 พันล้านบาท สถาบันไทยช่วย 2,669 ล้านบาทเก็บหุ้นขนาดใหญ่ แบงก์-พลังงาน อานิสงส์หุ้นต่างประเทศคึกคัก ดัชนีปรับฐานลึกเกิน เศรษฐกิจไทยโตต่อเนื่อง 2.2% ในไตรมาส 1  สภาพัฒน์หั่นคาดการณ์ปี 65 โต 2.5-3.5% จาก 3 ปัจจัยเสี่ยง ธปท.คาดแนวโน้มกำไรแบงก์ไตรมาส 2 ได้ท่องเที่ยว-ส่งออกหนุน  

วันที่ 17 พ.ค.2565 ตลาดหุ้นไทยวิ่งแรงตามต่างประเทศ ดัชนีปิดที่ 1,614.49 จุด เพิ่มขึ้น 30.11 จุดหรือ +1.90%มู ลค่าซื้อขายรวม 85,186.24 ล้านบาท จากแรงซื้อของต่างชาติ 3,204.89 ล้านบาท และสถาบันไทยซื้อ 2,668.99 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขาย 5,078.94 ล้านบาท ด้านค่าเงินบาทแข็งปิดที่ 34.53 บาท จับตาถ้อยแถลงประธานเฟด

มาร์เก็ตติ้งกล่าวว่า ตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาบิทคอยน์ปรับตัวขึ้น โดยดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า +1% ฮ่องกงวิ่งนำภูมิภาค +3.27% คลายกังวลจีนล็อกดาวน์ หนุนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดเกือบจุดสูงสุด 30.11 จุด ตามแรงซื้อหุ้นแบงก์ และพลังงาน ได้ปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ขยายตัว 2.25% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 4 ที่เพิ่มขึ้น 1.8% และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีก ลิตรละ 5 บาท จะมีผลตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค.- 20 ก.ค. 65  ส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นยกแผง

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.พาย กล่าวว่า หุ้นไทยปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งภูมิภาคเอเชีย ตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ และดาวโจนส์ฟิวเจอร์ต่างก็บวกกันทั่วหน้า ซึ่งมองตลาดรีบาวด์ขึ้นมาหลังจากที่ได้ปรับฐานลงไปแรง ท่ามกลางความกังวลปัจจัยเดิมที่ยังไม่หมดไป ทั้งเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), สถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน รวมถึงเงินเฟ้อที่ยังสูง

ทั้งนี้ ตลาดฯได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังจากที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้น แต่ก็อาจส่งผลให้เงินเฟ้อมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้ต่อจากราคาน้ำมันที่ขึ้นไป อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ก็โฟกัสไปที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยประกาศออกมา

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 18 พ.ค.2565 ตลาดฯมีโอกาสพักตัวหลังจากที่ปรับขึ้นแรงในวันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,600 จุด แนวต้าน 1,630 จุด

ด้านสภาพัฒน์แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1/2565 เติบโต 2.2% ขยายตัวต่อเนื่องจาก 1.8% ในไตรมาส 4/2564 โดยภาคเกษตรเร่งตัวขึ้น ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวจากภาคบริการที่ได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการต่างๆของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม มีการปรับลดคาดการณ์ เศรษฐกิจในปี2565 โต 2.5-3.5% เดิมคาดโต 3.5-4.5% เคลื่อนไหวตามความไม่แน่นอน แต่มีปัจจัยสนับสนุน ที่สำคัญ คือ 1. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว  2. การขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า โดยมูลค่าการส่งออก คาดว่าจะอยู่ที่ 289,200 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 7.3% ขณะที่คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยว จะอยู่ที่ 570,000 ล้านบาท ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 7 ล้านคน โดยจะทยอยเข้ามามากสุดในช่วงไตรมาส 4 ประมาณการเศรษฐกิจอื่น ๆ   คาดว่าอัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 4.2-5.2%

น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรของธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 2/2565 ว่า ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณบวกของการส่งออก และการท่องเที่ยว  แต่ยังมีปัจจัยเรื่องราคาสินค้า และราคาพลังงานสูง ที่ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ด้วยเช่นกัน

ส่วนไตรมาส 1 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ จำนวน 49.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 11.8% โดยหลักจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลงจากรายได้ค่าธรรมเนียมเป็นสำคัญรวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (ROA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.87% จากไตรมาสก่อนที่ 0.67% ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (NIM) ทรงตัวอยู่ที่ 2.45%

ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1/65 ขยายตัวที่ 6.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 6.5% โดยสินเชื่อธุรกิจขยายตัวที่ 8.8% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 7.9% เนื่องจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการเงินทุนของภาคเอกชน โดยขยายตัวได้ในเกือบทุกภาคธุรกิจ ด้านสินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 3,016.4 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ 19.8% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 909.4 พันล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 165.6% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio: LCR) อยู่ที่ 192.5%

“ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง มีความสามารถในการขยายสินเชื่อ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยคุณภาพสินเชื่อในภาพรวมค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากการปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อ ที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น” น.ส.สุวรรณี กล่าว