HoonSmart.com>>สภาพัฒน์เศรษฐกิจไตรมาส 1/65 โต 2.2% จากไตรมาส 4/64 ขยายตัว 1.8% รับผลดีมาตรการกระตุ้นศก.-การผ่อนคลายจากภาครัฐ หั่นคาดการณ์ปี 65 โต 2.5-3.5% เดิมคาดโต 3.5-4.5% จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ราคาพลังงานสูงดันเงินเฟ้อ เผย 3 ปัจจัยเสี่ยง คาดส่งออกโต 7.3% รายได้ท่องเที่ยว 570,000 ล้านบาทหนุน เสนอทางออก
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1/2565 เติบโต 2.2% ขยายตัวต่อเนื่องจาก 1.8% ในไตรมาส 4/2564 โดยภาคเกษตรเร่งตัวขึ้น ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวจากภาคบริการที่ได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการต่างๆของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งในด้านการเดินทางในประเทศและระหว่างประเทศเป็นสำคัญ
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช กล่าวว่า สภาพัฒน์ได้ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจปี 2565 เหลือโต 2.5 – 3.5% โดยมีค่ากลางที่ 3% จากครั้งก่อนคาด 3.5-4.5% มีการปรับสมมุติฐานเศรษฐกิจโลกเติบโตลดลงเหลือ 3.5% จากเดิม 4.5% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งราคาพลังงานสูงส่งผลถึงไปอัตราเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ปรับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นเป็น 95-105 ดอลลาร์/บาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนทั้งปี อยู่ที่ระดับ 33.30-34.30 บาท/ดอลลาร์ จากเดิม 32.20-33.20 บาท/ดอลลาร์
สำหรับปัจจัยข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในปี 2565 ได้แก่ 1.การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความผันผวนในตลาดการเงินโลก และการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ รวมถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก และระบบโลจิสติกส์
2. เงื่อนไขด้านฐานะการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจ จะจำกัดต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ
3. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 จากแนวโน้มการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ซึ่งอาจจะนำไปสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง แต่เริ่มมีน้ำหนักต่อเศรษฐกิจลดลง เนื่องจากประชาชนได้รับวัคซีนกันอย่างทั่วถึงมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตลดลง
นายดนุชา ยอมรับว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น คงไม่สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นปัญหาที่สะสมมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และเกิดขึ้นกับหลายประเทศไม่เฉพาะไทยเท่านั้น ซึ่งการดำเนินมาตรการเข้ามาช่วยเหลือทั้งของภาครัฐ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคเอกชน จำเป็นต้องทำอย่งต่อเนื่อง แต่จะต้องมีมาตรการที่เป็นลักษณะเฉพาะ และตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่การทำมาตรการแบบครอบคลุม เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิด Moral Hazard หรือการสร้างแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสมขึ้นได้
“การแก้ปัญหาหนี้ ต้องมีลักษณะเฉพาะครัวเรือน เฉพาะกิจการ มองว่าการแก้ไขมีความก้าวหน้ามากขึ้น จากเดิมที่มีอยู่ 6 ล้านบัญชี ตอนนี้ก็เริ่มลดลง การแก้ปัญหาต้องเน้นในการพยายามยืดเวลาชำระหนี้ให้กับครัวเรือนและภาคธุรกิจ เพื่อให้มีสภาพคล่องในการใช้จ่าย และดำเนินธุรกิจได้” เลขาธิการสภาพัฒน์ระบุ
สำหรับปัญหาราคาพลังงานที่อาจจะมีผลต่อหนี้ครัวเรือนให้เพิ่มสูงขึ้น ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนการจะพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงอีกหรือไม่ หรือจะมีการดำเนินการอย่างไรนั้น ต้องรอการพิจารณาจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
นายดนุชา ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจว่า การจะพิจารณากู้เงิน หรือการใช้มาตรการการคลังใดๆ เพิ่มเติมนั้น ต้องพิจารณาปัจจัยให้รอบคอบ โดยเฉพาะข้อจำกัดในด้านทรัพยากรของประเทศ รวมถึงข้อจำกัดด้านฐานะการคลัง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาพัฒน์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะร่วมกันพิจารณาถึงความเหมาะสมว่าจะต้องดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร
ปัจจุบัน พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ยังเหลือเม็ดเงินอยู่ราว 74,000 ล้านบาท แต่เงินก้อนนี้ ยังมีภาระที่จะต้องนำไปใช้ใน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนนำเสนอที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติ ซึ่งจะเป็นการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนในทั่วประเทศ และ 2. ค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลที่ต่อเนื่องจากโควิด อีกราว 16,000 ล้านบาท ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดังนั้น จึงเท่ากับจะเหลือเม็ดเงินจริงๆ อีกเพียง 48,000 ล้านบาท ที่จะต้องนำเงินก้อนนี้มาใช้จ่ายภายใน 2565
“สถานการณ์ขณะนี้ เป็นผลกระทบที่ซ้อนต่อเนื่องจากโควิด หลายประเทศเศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นการกู้เงินเพื่ออัดฉีดระบบเศรษฐกิจ ต้องดูเวลาให้เหมาะสมจริงๆ และต้องรอบคอบจึงค่อยตัดสินใจ ไม่เช่นนั้น จะเป็นการเอาใช้ทรัพยากรของประเทศไปใช้ได้ผลไม่เต็มที่” เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าว
ส่วนปัจจัยสนับสนุนในปี 2565 ที่สำคัญ คือ 1. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว 2. การขยายตัวต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า จะยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมูลค่าการส่งออก คาดว่าจะอยู่ที่ 289,200 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 7.3% ขณะที่คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยว จะอยู่ที่ 570,000 ล้านบาท ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 7 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจะทยอยเข้ามามากสุดในช่วงไตรมาส 4 ประมาณการเศรษฐกิจอื่น ๆ คาดว่า มูลค่าการนำเข้า ขยายตัว 10.9% เกินดุลการค้า 34.6 พันล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัด -1.5% ต่อจีดีพี อัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ 4.2-5.2%
เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวถึงประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2565 ว่า ควรให้ความสำคัญดังนี้
1. การรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน โดยการติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19, การดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือน, การดูแลกลไกตลาดเพื่อให้ราคาสินค้าเคลื่อนไหวสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต และการดูแลกลุ่มที่มีความเปราะบางต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า
2. การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง เช่น การพิจารณามาตรการสินเชื่อและมาตรการอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถกลับมาประกอบธุรกิจ และการยกระดับศักยภาพและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน
3. การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้าสำคัญไปยังตลาดหลักและการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน, การพัฒนาสินค้าส่งออกให้มีคุณภาพและมาตรฐาน, การใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และการเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ และการปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต
4. การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง, การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ, การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก (iv) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ, การลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่สำคัญ ๆ และการพัฒนากำลังแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมที่เน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้มข้น
5. การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
6. การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยการบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสมเพื่อเตรียมการรองรับฤดูกาลเพาะปลูก และการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
7. การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก
“ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติและส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนให้จับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่จำเป็น รวมถึงเน้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศก่อนเพื่อช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่วนการเดินทางไปต่างประเทศ ขอให้ไปเฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ”นายดนุชากล่าว