ผู้เลี้ยงสุกร สนองนโยบายรัฐ ตรึงราคาหน้าฟาร์มไม่เกิน 1OO บาท/กก.

ผู้เลี้ยงสุกร สนองนโยบายรัฐ จับมือรักษาระดับราคาหมูไม่เกิน 100 บาท/กก.หนุนเปิดประเทศ ย้ำรัฐอย่านำเข้าหมู บั่นทอนอาชีพเกษตรกร

สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า ผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศพร้อมใจกันสนองนโยบายรัฐบาล รักษาระดับราคาหน้าฟาร์มไม่เกิน 100 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงที่ทุกฝ่ายพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังเริ่มนโยบายเปิดประเทศ 1 พฤษภาคมนี้

“ผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศยินดีร่วมมือกับรัฐบาล ในการรักษาระดับราคาสุกรเพื่อผู้บริโภค แม้ยังคงแบกต้นทุนมาตรการด้านสุขภาพสัตว์ และต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีราคาสูงอย่างต่อเนื่อง  ด้วยขณะนี้กำลังเข้าสู่การเปิดประเทศ และต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงรักษาระดับราคาหน้าฟาร์มไว้ไม่เกิน 100 บาท/กก.” นายสิทธิพันธ์กล่าว

ทั้งนี้ รายงานข้อมูลสภาวะตลาดสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม (สัปดาห์ที่ 17/2565) วันพระที่ 30 เมษายน 2565 จากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ มีราคาดังนี้ ภาคตะวันตก 98-100 ภาคตะวันออก 98-100 ภาคอีสาน 98-100 ภาคเหนือ 100 ภาคใต้ 98

สถานการณ์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ASF ทำให้จำนวนเกษตรกรและปริมาณผลผลิตสุกรหายไปจากระบบกว่า 50% ส่งผลถึงปัจจุบันที่ปริมาณสุกรมีน้อยกว่าความต้องการบริโภค ไม่มีการกักตุนใดๆจากผู้เลี้ยงรายใหญ่ หรือรายกลางทั้งสิ้น รวมถึงไม่มีการจับมือขึ้นราคาตามอำเภอใจ ราคาที่ขยับจึงขึ้นอยู่กับระดับราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสำคัญ

สมาคมฯ ย้ำวอนรัฐอย่านำเข้าเนื้อสุกร รวมทั้งเร่งสกัดกั้นและกวาดล้างขบวนการ “ลักลอบนำเข้าหมู” ที่นำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนผิดกฎหมายจากเยอรมนี บราซิล แคนาดา อิตาลี เกาหลี เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา เข้ามาสำแดงเท็จว่าเป็นสินค้าอื่น เช่น เป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารทะเล จนทำให้พบสินค้าเหล่านั้นกระจายขายอยู่ในประเทศโดยเฉพาะย่านราชบุรี-นครปฐม

ขณะเดียวกัน ผลักดันให้ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกลับมาเลี้ยงหมูรอบใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเกษตรกร กลับเข้าสู่ระบบอย่างมั่นใจและรวดเร็ว หากปล่อยให้มีการนำเข้าหมู จะลดแรงจูงใจในการกลับเข้าระบบของผู้เลี้ยง ขณะที่หมูนำเข้านั้นมีโรคหมูประจำถิ่น ที่เป็นความเสี่ยงต่อระบบการเลี้ยงหมูของไทย ปนเปื้อนสารอันตราย เช่น สารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเป็นสารต้องห้ามและผิดกฎหมายไทย ตาม พ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ ซึ่งจะก่อผลกระทบร้ายแรงต่อสุขอนามัยของผู้บริโภค

นอกจากอาชีพคนเลี้ยงหมูจะล่มสลาย ต้องพึ่งพาหมูนอกเรื่อยไป คนไทยยังต้องตายผ่อนส่งไปกับการถดถอยของความมั่นคงทางอาหาร และเศรษฐกิจไทยคงยากที่จะฟื้นฟู

“การปล่อยให้กลไกตลาดทำงานจะขับเคลื่อนให้ทุกอย่างเข้าสู่สมดุลได้เอง ซึ่งเป็นการจูงใจให้ผู้เลี้ยงเพิ่มขึ้นในระบบ ช่วยเพิ่มผลผลิตเนื้อหมูด้วย และเป็นการแก้ปัญหาราคาหมูอย่างยั่งยืน” นายกสมาคมฯ กล่าว