HoonSmart.com>>ผ่าแนวคิด “ดร.วิกร ภูวพัชร์” แม่ทัพใหญ่ FTI ผู้นำผลิตภัณฑ์น้ำครบวงจรของไทยเตรียมผงาด !!! ผู้นำในภูมิภาคอาเซียน
นับถอยหลังเตรียมขายหุ้นไอพีโอและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 2/65 สำหรับหุ้นน้องใหม่ป้ายแดง บริษัท ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (FTI) ผู้นำตลาดค้าส่ง (B2B) ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำครบวงจร ภายใต้การบริหารของ “ดร.วิกร ภูวพัชร์” ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 25 ปี ภายใต้แนวคิด “All solutions of water” หรือ “ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องน้ำ คิดถึงฟังก์ชั่น”
สำหรับ FTI เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 130 ล้านหุ้น เพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายสาขาตัวแทนจำหน่าย “Aquatek” และ “Water Store” เพิ่มกำลังการผลิตประกอบ ปรับปรุงคลังสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต พร้อมก้าวสู่ผู้นำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจรทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ภายใต้แบรนด์สินค้า 23 แบรนด์
ทั้งนี้ FTI ประกอบธุรกิจนำเข้า ประกอบผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำ (Water Treatment) ครบวงจร ได้แก่ เครื่องกรองน้ำ ไส้กรอง สารกรอง ปั๊มและวาล์ว ตลอดจนอุปกรณ์สำหรับเครื่องกรองน้ำ รวมถึงการให้บริการที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมฐานผู้บริโภคสินค้ากลุ่มหลักทุกกลุ่ม ได้แก่ ผู้บริโภคในครัวเรือน กลุ่มใช้เชิงพาณิชย์ และกลุ่มอุตสาหกรรม
ปัจจุบัน มีร้านตัวแทนจำหน่าย Water Store รวม 19 สาขา ตั้งอยู่ประเทศไทย 16 สาขา และต่างประเทศ 3 สาขา (ผ่านตัวแทน) ประกอบด้วยสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศกัมพูชา
แม่ทัพใหญ่ FTI “ดร.วิกร ภูวพัชร์” เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของบริษัทฯ ก่อนก้าวสู่ผู้นำผลิตภัณฑ์น้ำครบวงจรในประเทศไทย ว่า หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต จากสถาบันเทคโน ฯ ลาดกระบัง ได้เริ่มจากการเป็นพนักงานบริษัทขายระบบบำบัดน้ำโรงงาน ทำงานได้เพียง 2 ปีครึ่ง ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย
แต่ด้วยความที่ “วิกร” อยากเพิ่มพูนความรู้ อยากมั่นคงมากขึ้น จึงศึกษาต่อปริญญาโทภาคพิเศษสาขาบริหารธุรกิจ กระทั่งจบปริญญาโท ก็เกิด “วิกฤติต้มยำกุ้ง” (2540) แม้เศรษฐกิจจะเริ่มไม่ดี แต่เขาก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวด้วยทุนเริ่มต้น 1 แสนบาท เปิด บริษัท ฟังก์ชั่น เทรดดิ้ง จำกัด นำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องกรองนํ้าในครัวเรือน และถือเป็นรายแรกที่นำเครื่องประเภท RO เข้ามาทำตลาดในไทย
ช่วงปีแรกยอดขายอยู่ที่ 3 ล้านบาท ปีต่อมาขยับเป็น 7-8 ล้านบาท และในปี 2542-2543 ยอดขายขยับเพิ่มเป็น 40-50 ล้านบาท ก่อนทะลุ 100 ล้านบาท ในปี 2545
จุดแข็งสำคัญที่ทำให้ FTI ก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำครบวงจร คือ การมีโปรดักส์หลากหลาย มีผลิตภัณฑ์สำหรับระบบบำบัดน้ำครบวงจร ครอบคลุมทั้งการใช้ในครัวเรือน การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม
มีแบรนด์สินค้ามากมาย รวมทั้งสารกรองและอุปกรณ์ต่างๆ กว่า 5,000 รายการ จาก 23 แบรนด์ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งด้านราคาและการใช้งานมีดีไซน์หลากหลาย เหมาะสมกับลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย มีความเชี่ยวชาญการให้คำแนะนำ เพื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพน้ำของลูกค้าแต่ละพื้นที่
นอกจากนี้ ยังเลือกวัตถุดิบจาก Supplier หลากหลายเจ้า ทำให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีในราคาที่แข่งขันได้ สามารถหาไส้กรองและอุปกรณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแทนกันได้ง่าย และใช้ร่วมกันได้ในหลายรุ่น สามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ลูกค้าได้รับความคุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าราคาใกล้เคียงกัน
อีกทั้ง มีร้านค้า/ตัวแทนจำหน่ายจำนวนมาก ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศการให้บริการตรวจสอบคุณภาพน้ำ และการบริการหลังการขาย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับร้านค้า/ตัวแทน
ด้านผลการดำเนินงานช่วงปี 2562 -2564 บริษัทมีรายได้รวม 738.53 ล้านบาท และ 875.77 ล้านบาท และ 720.75 ล้านบาท ตามลำดับ
มีกำไรสุทธิสำหรับปี 2562 – 2564 มูลค่า 37.75 ล้านบาท 70.30 ล้านบาท และ 36.39 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิเท่ากับ ร้อยละ 5.11 ร้อยละ 8.03 ร้อยละ 5.05
ปัจจุบัน FTI มีทุนจดทะเบียนวน 450 ล้านบาท แบ่งเป็น 450 ล้านหุ้น ทุนชำระแล้ว 320 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 320 ล้านหุ้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี
วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ FT นำไปใช้ลงทุนขยายตัวแทนจำหน่ายภายในปี 2565-2567 ได้แก่ การขยายสาขา ภายใต้แบรนด์ Aquatek จำนวน 50 สาขา จากปัจจุบันมี 1 สาขา , ขยายสาขา Water Store จำนวน 5 สาขา จาก 19 สาขา
ปรับปรุงตกแต่งอาคารจัดแสดงสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ รวมถึงปรับปรุงอาคารคลังสินค้าในปี 2565-2566 ตลอดจนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และยังนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตประกอบ
ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มศักยภาพของบริษัทฯ ให้มีความแข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคต
“การเข้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ เป้าหมายหลักไม่ได้เกิดขึ้นจากเงิน เพราะถ้าดูงบการเงินแล้ว เราแทบจะไม่มีหนี้ วงเงินส่วนใหญ่เป็นเครดิตทางการค้า การที่ผมตัดสินใจเข้าตลาดหุ้น ผมต้องการระบบที่มีความยั่งยืน อยากได้ Partner ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญธุรกิจ มาทำงานร่วมกัน เพื่อความมั่นคงของบริษัท และความมั่นคงของพนักงาน เราต้องการวิ่งไปข้างหน้า อย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ต้องระวังหลัง และพร้อมก้าวสู่ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน” ดร.วิกร กล่าวในที่สุด
