ศูนย์วิจัยกสิกรฯฟันธงเฟดขึ้นดบ.0.5% ดอลล์แข็ง ไทยเสี่ยงเงินไหลออก บาทอ่อน

HoonSmart.com>>ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยเฟดประชุม 3-4 พ.ค. นี้ คาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50% เริ่มปรับลดขนาดงบดุล ตามที่ได้ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ สกัดกั้นเงินเฟ้อที่ยังคงเร่งตัวในระดับสูง ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่ดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกับเฟดเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนไหลออก-ค่าเงินที่อ่อนค่าลง เงินเยนญี่ปุ่นได้รับแรงกดดันมากที่สุดอ่อนค่าไปแล้วกว่า 11.3% นับตั้งแต่ต้นปี มาเลเซีย 4.5% ไทย 3.3%  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยว่า การประชุม FOMC วันที่ 3-4 พ.ค.นี้ คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.50% และคงจะต้องเริ่มปรับลดขนาดงบดุลมูลค่ารวมเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้  ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.50% ในการประชุมอีก 5 ครั้งในระยะที่เหลือของปี โดยยังคงให้น้ำหนักต่อประเด็นการรักษาเสถียรภาพด้านราคาเป็นหลัก

ปัจจุบันตลาดมีมุมมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 2.75-3.00% อย่างไรก็ดี การเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ยังอยู่ในระดับสูง สำหรับมุมมองเศรษฐกิจ เฟดน่าจะคงประมาณการจีดีพีไว้ที่ 2.8% รวมถึงคงประมาณการอัตราเงินเฟ้อต่างๆ เพื่อรอดูผลของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจต่างๆ ไปอีกระยะหนึ่ง

การปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก  0.50% ถือเป็นยาแรงที่เฟดคงต้องเลือกทำเพื่อยับยั้งวัฏจักรเงินเฟ้อ โดยเฟดคงมีมุมมองว่าหากปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยหรือช้าเกินไปอาจไม่เพียงพอที่จะส่งผลให้เงินเฟ้อปรับลดลงมาได้ ขณะเดียวกันเฟดคงมีจุดมุ่งหมายที่จะพาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปสู่ Soft Landing โดยการพยายามใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวเพื่อปรับลดอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาสู่ระดับเสถียรภาพ และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดการเงิน แต่ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังว่าการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวจะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย

เฟดคงมีมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว โดยตัวเลขอัตราการว่างงานเดือนมี.ค. 2565 ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยการจ้างงานในบางภาคส่วน เช่น ภาคค้าปลีกและภาคการเงิน ก็ได้กลับเข้าสู่ระดับก่อนวิกฤติโควิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ดี เมื่อมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากผลกระทบของวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่อาจยิ่งเร่งให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยบั่นทอนเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้แย่ลงกว่าเดิม  การเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกับเฟดเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกและทิศทางค่าเงินที่อ่อนค่าลง

ทั้งนี้ หากพิจารณาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซีย ประเทศส่วนใหญ่ต่างยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายท่ามกลางเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในภาวะเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ (Interest rate gap) นั้นแคบลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากประเทศ และกดดันทิศทางค่าเงินของแต่ละประเทศให้อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องได้ โดยค่าเงินเยนของญี่ปุ่นนั้นได้รับแรงกดดันมากที่สุดโดยอ่อนค่าไปแล้วกว่า 11.3% นับตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ค่าเงินริงกิตของมาเลเซียและค่าเงินบาทของไทยก็อ่อนค่าไปแล้วกว่า 4.5% และ 3.3% ตามลำดับ  ซึ่งธนาคารกลางต่างๆ เหล่านี้คงเผชิญแรงกดดันให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ท่ามกลางเงินทุนไหลออกและทิศทางค่าเงินที่อ่อนค่า ดังนั้น ธนาคารกลางต่างๆ คงเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและคงจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินและด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปในระยะข้างหน้า