KTC แนะ “รับมือความเสี่ยง-ภัยคุกคามบนโลกออนไลน์”

HoonSmart.com>> บัตรกรุงไทย จัดเสวนาปันความรู้ด้านความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ เพื่อให้คนไทยพร้อมรับมือความเสี่ยงและภัยคุกคามต่างๆ บนโลกไซเบอร์ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคควบคู่การบริหารเพื่อป้องกันการทุจริตด้านดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย 4 องค์ประกอบหลัก บุคลากร-กระบวนการ-เทคโนโลยี-การบริหารจัดการข้อมูล

นายไรวินทร์ วรวงษ์สถิตย์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร–ควบคุมงานปฏิบัติการและงานปฏิบัติการร้านค้า  กล่าวว่า “ธุรกรรมการชำระเงินออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตรวดเร็ว โดยเฉพาะการชำระค่าสินค้าและบริการบนอีคอมเมิร์ซได้รับความนิยมสูงต่อเนื่อง มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม 9.79% ต่อปี  โดยผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าผ่านอี-มาร์เก็ตเพลซ มากที่สุด ในขณะที่ผู้ขายนิยมขายสินค้าผ่านโซเชียล คอมเมิร์ซ มากที่สุด

สำหรับช่องทางการชำระค่าสินค้าและบริการออนไลน์ที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. แอปพลิเคชันของธนาคาร 2. ชำระเงินปลายทาง 3. ชำระด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิท 4. โอนหรือชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร และ 5. ชำระด้วยวอลเล็ตของแพลทฟอร์ม นอกเหนือจากการชำระค่าสินค้าและบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคผ่านออนไลน์แล้ว อีกหนึ่งบริการที่มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นคือ การซื้อขายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนออนไลน์ อาทิ บิทคอยน์ หุ้นและกองทุนรวม”

“ท่ามกลางการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในโลกของการชำระออนไลน์ที่ต้องมีความเสถียร เคทีซีให้ความสำคัญสูงสุดคือ ความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า ด้วยการพัฒนาระบบบริหารการป้องกันภัยทุจริตที่มีประสิทธิภาพ คือ ด้านบุคลากร สร้างทีมงานที่มีศักยภาพในการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง  ด้านกระบวนการ มีการปรับปรุงกระบวนการงานให้มีความทันสมัย ด้านเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบและป้องกันการทุจริต และด้านการบริหารจัดการข้อมูล ติดตามและอัพเดทข้อมูลการทุจริตทั้งจากภายในและต่างประเทศ รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบภายใต้หลักเกณฑ์  อย่างไรก็ดี การป้องกันภัยจากการทุจริตต่างๆ จะเกิดประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น หากสมาชิกและผู้บริโภคได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และมีการป้องกันตนเองในเบื้องต้น”

“ลักษณะการทุจริตบนระบบการชำระออนไลน์ในปัจจุบันมีหลายรูปแบบ เช่น  การทุจริตจากคนแวดล้อมใกล้ตัว, เว็บไซต์ปลอม, การสุ่มเลขบัตร และโดยเฉพาะการหลอกโอนขอ OTP และหลอกโอนเงินจากแกงค์คอลเซ็นเตอร์ หรือการได้รับอีเมลหลอกลวงหรือหน้าเว็บไซต์ปลอม หลอกให้ทำการอัพเดทข้อมูลบัตรเครดิตและถูกนำไปใช้เข้าระบบและทำรายการธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต”

นายนพรัตน์ สุริยา ผู้จัดการ – ควบคุมและป้องกันการทุจริต กล่าวถึงการรับมือในยุคสังคม ไร้เงินสดว่า “ผู้บริโภคสามารถร่วมป้องกันตนเองเบื้องต้นได้ง่ายๆ โดย 1) ระมัดระวังไม่หลงเชื่ออีเมลลวง ทุกธนาคารและสถาบันการเงินไม่มีนโยบายแจ้งให้ลูกค้าเข้าใช้บัญชีผ่านทางอีเมล 2) ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสที่น่าเชื่อถือ 3) ตั้งการแจ้งเตือนเมื่อมีการทำธุรกรรม ผ่าน SMS หรือให้อีเมลกับธนาคารและสถาบันการเงิน 4) ล็อคเอาต์ออกจากระบบทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน

สำหรับการป้องกันความเสี่ยงจาก QR Code ปลอม ทำได้โดยตรวจสอบความถูกต้องของ QR Codeระมัดระวังการสแกน QR Code ที่ติดตั้งในที่สาธารณะ ตรวจสอบชื่อเว็บไซต์หรือ URL หลังการสแกน QR Code ควรดาวน์โหลดจาก Apple Store หรือ Google Play แทน”

“สำหรับสมาชิกเคทีซี แนะนำให้เพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล ด้วยการดาวน์โหลดและใช้แอปฯ “KTC Mobile” ซึ่งปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้นล็อคอินด้วยรหัสผ่าน 6 หลัก บนแป้นพิมพ์แบบไดนามิค เพื่อการยืนยันตัวตน สะดวกด้วยระบบตั้งเตือนการใช้จ่ายผ่านบัตรทุกรายการ และยังสามารถกำหนดยอดใช้จ่ายที่ต้องการ พร้อมตั้งเตือนก่อนวันชำระ รวมทั้งบริการจำเป็นอื่นๆ ที่ลูกค้าสามารถตั้งค่าทำรายการได้ด้วยตนเอง”

“เคทีซียังได้มีการปรับข้อความเมื่อส่งรหัสผ่านสำหรับใช้ครั้งเดียว หรือ OTP โดยย้ำเตือนให้สมาชิกระมัดระวังการแจ้งรหัสให้กับบุคคลอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการทุจริตเข้าถึงบัญชี นอกจากนี้ สมาชิกเคทีซีและผู้บริโภคยังสามารถตรวจสอบเว็บไซต์แปลกปลอมได้ผ่าน https://who.is เพื่อหาข้อมูลจดทะเบียนของเว็บไซต์ต่างๆ ได้ เนื่องจากปัจจุบันได้มีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นสถาบันการเงินที่มีการจดทะเบียนจริง แล้วสร้างเว็บไซต์ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หลอกให้ผู้เสียหายโอนค่าค้ำประกันวงเงินกู้ แต่ไม่มีการให้สินเชื่อแต่อย่างใด”

นายพันธ์เทพ ชนะศึก ผู้อำนวยการ – หน่วยงานควบคุมและป้องกันการทุจริต กล่าวถึงแนวทางการช่วยเหลือปัญหาทางออนไลน์ว่า “เคทีซีทำงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ในการเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแสและติดตามสังเกตการณ์เหตุผิดปกติวิสัย ซึ่งอาจนำไปสู่การทุจริตของมิจฉาชีพ เพื่อการป้องปราบที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยล่าสุดทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พัฒนาความช่วยเหลือปัญหาที่เกิดขึ้นทางออนไลน์ไปอีกขั้น ด้วยการแจ้งเตือนภัย และเปิดให้ผู้บริโภคสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com หรือขอรับคำปรึกษาและคำแนะนำได้ที่โทร. 1441

นอกจากนี้ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ยังได้เปิดสายด่วน โทร. 1212 เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคออนไลน์เชิงรุกตลอด 24 ชั่วโมง อีกด้วย”