โบรกฯส่องงบฯ Q1/65 กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชู DELTA-KCE-HANA เติบโตดี

HoonSmart.com>>โบรกเกอร์ส่องผลงานไตรมาส 1/65 กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชู 3 หุ้นเต็ง DELTA  มีลุ้นกำไรดีกว่าที่คาดไว้ในช่วง 1,992-2,500 ล้านบาท ยอดขายสินค้ามาร์จิ้นดีเติบโตขึ้น ส่วน KCE คาดกำไร  520-657 ล้านบาท เดินหน้าเติบโตต่อไตรมาส 2  ด้าน HANA กำไร 430-423 ล้านบาท เติบโต YoY จากความต้องการสินค้าครึ่งยังแข็งแกร่ง กรอบราคาเหมาะสม DELTA ไว้ที่ 364-430 บาท KCE 71-82.50 บาท  HANA 53-70 บาท

นายธันย์ จิระสิทธิกร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย คาดการณ์ผลกำไรกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์งวดไตรมาส 1/2565 จะมีกำไรสุทธิ 3,500 ล้านบาท เติบโต 42%YoYจากการกลับมาของยอดขายที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่จะทรงตัวเมื่อเทียบ QoQ เนื่องจากมีปัจจัยที่เข้ามากระทบมาก ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว ประกอบกับการล็อกดาวน์ของจีนหลังเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 กลับมาอีกครั้ง ทำให้ความต้องการสินค้าไม่ค่อยดี  การส่งออกจะลดลงจากไตรมาส 4/64 จากยอดขายที่ไม่เติบโตเท่าไร

อย่างไรก็ดี ไตรมาส 2 คาดว่าผลกำไรจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 1 เล็กน้อย จาก KCE ที่มีการขยายกำลังการผลิต จากไตรมาส 1/65 เครื่องจักรยังเดินได้ไม่ดี  ส่วน HANA ก็มีการขยายกำลังการผลิตในไตรมาส 2 ทำให้ยอดขายเติบโตได้ ด้าน DELTA ผลงานน่าจะทรงตัว

ทั้งนี้ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มี Outlook ที่ไม่ดี จากการมองกลุ่มใกล้จบรอบการลงทุน, ต้นทุนวัตถุดิบสูง, ขาดแคลนชิพ และเศรษฐกิจในยุโรปมีปัญหา ซึ่งหุ้น DELTA รับผลกระทบจากยุโรปมาก  ค่ายรถยนต์ในยุโรปปิดกิจการ, HANA ไปทำธุรกิจใหม่และขาดทุน ส่วน KCE ลูกค้าในยุโรปมีจำนวนมาก

ส่วน SVI ประสบปัญหาขาดแคลนชิพมากในปี 2564 ซึ่งคำสั่งซื้อจากลูกค้ามีมาจากปีที่แล้ว และตั้งแต่ไตรมาส 4/64 สถานการณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ผ่อนคลายการขาดแคลนชีพ และลูกค้ามีคำสั่งซื้อล่วงหน้านานขึ้นถึง 3 ไตรมาส จากเดิมแค่ไตรมาสเดียว จึงแนะนำ”ซื้อ”หุ้น SVI เนื่องจากเทรด P/E ถูกสุดในกลุ่มฯ และทุกไตรมาสมีการปรับราคาขายได้เร็วสุด รวมถึงได้รับผลระทบน้อยสุด สำหรับกำไรไตรมาส 1 คาดว่าจะมีกำไร 431 ล้านบาท เติบโต 256% yoy

นายธันย์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดมีมุมมองบวกต่อ DELTA คาดว่าผลดำเนินงานงวดไตรมาส 1/65  กำไรจะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ที่ 1,992 ล้านบาท เติบโต 32% YoY และ 3%QoQ โดยยอดขาย เติบโต 5% QoQ มาจากการเติบโตสินค้าที่ให้มาร์จิ้นดี เป็นพวก Data Center ทำให้อัตรากำไรโดยรวมเติบโตขึ้นด้วย และค่าใช้จ่ายจากการขาย และการบริหารก็ไม่เพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ดี ขณะนี้ก็ยังคงแนะ”ถือ”หุ้น DELTA ด้วยราคาเป้าหมาย 366 บาท

บล.โนมูระ พัฒนสิน มีมุมมองเป็นบวกต่อ DELTA แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/65 ที่ 2,488 ล้านบาท สูงกว่าคาดเดิม และคาด +42%เทียบ YoY+19% QoQ ส่วนยอดขายคาด +25% YoY+2%QoQ ด้าน GPM 23% โดยไตรมาส 1/64 ที่ 21.6% และไตรมาส 4/61 ที่ 20% เพราะการเติบโตและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของกลุ่ม Data center ซึ่งเพียงพอชดเชยกลุ่มอีวีคาร์ที่กระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จึงปรับคำแนะนำเป็น เท่ากับตลาด และเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 364 บาท (ปรับเพิ่มประมาณการ 10% แต่คงพี/อี 50 เท่า =Mean+0.25SD) พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2565 เติบโต +35%

ทั้งนี้ แนวโน้มงบไตรมาส 2/2565 (-35%QoQ) น่าจะเป็นไตรมาสที่อ่อนที่สุดในปีนี้ เพราะการล็อกดาวน์ในจีน ส่งผลให้วัตถุดิบของสินค้า Data center ขาดและต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มอีวีคาร์ยังได้รับผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการขนส่งทางบกในยุโรปได้รับผลกระทบด้านลบ

ส่วน KCE ราคาเป้าหมาย 74 บาท เป็นอีกหุ้นที่รับประโยชน์ทั้งจากอุตสาหกรรม EV car ในยุโรป ซึ่งรัฐผลักดันนโยบาย Green energy เต็มที่ และกลุ่ม Smart devices ที่ยังเห็นการเติบโตแรง โดยคาดกำไรไตรมาส 1/2565 ที่ 520 ล้านบาท (+3%YoY, -26%QoQ) ผู้บริหารคาดว่าปริมาณผลิตในไตรมาส 1/2565 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 4/65 แต่การปรับราคาขายขื้น 3-4% ทำให้ยอดขายไตรมาส 1/65 น่าจะอยู่ที่ 110 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่า 106 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาส 4/2564 ราว 3-4% โดยมองกำไรปี 65 เติบโต 10% YoY

ด้านมูลค่า ราคาหุ้นได้เปรียบเชิงต้นทุน มองเป็นจุดซื้อได้ ซื้อขาย P/ER65 เหลือ 28 เท่า เทียบกับช่วงพีคที่สูง 40 เท่า

บล.เคทีบีเอสที แนะ”ซื้อ”หุ้น HANA ราคาเป้าหมาย 70 บาท คาดกำไรหลัก งวดไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 430 ล้านบาท (+4% YoY, +16% QoQ) โดยสาเหตุที่เติบโต YoY มองว่ารายได้ที่เติบโตได้ดีมาจากมุมมองของผู้บริหารที่มองว่าความต้องการสินค้าในช่วงครึ่งแรกปี 2565 ยังแข็งแกร่ง โดยฝ่ายวิจัยได้ประมาณการรายได้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) อยู่ที่ 182 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+6% YoY, -3% QoQ) โดยรายได้เงินบาทเติบโต YoY มากกว่าจากค่าเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่ core profit เติบโตได้ดี QoQ จากผลกระทบของการบันทึกผลขาดทุนจากธุรกิจ SiC ครั้ง เดียวในช่วงไตรมาส 4/64 ขณะที่ปี 65 จะแบ่งเฉลี่ยเป็น 4 ไตรมาส ไตรมาสละเท่าๆ กัน แต่มองว่ารายได้ในไตรมาส 1/65 จะลดลง QoQ จาก supply chain disruption จากสงครามยูเครน-รัสเซีย และการล็อกดาวน์ในจีน

พร้อมคงประมาณการกำไรสุทธิปี 65-66 อยู่ที่ 2,287 ล้านบาท (+48% YoY) และ 2,517 ล้านบาท (+10%) YoY จากสมมติฐาน 1)ประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นที่ 13.1% ลดลงจากปี 2564 จากผลกระทบของธุรกิจ SiC ที่จะมีผลขาดทุนมากในช่วงแรกโดยเฉพาะจากค่าเสื่อม 2)ประมาณการรายได้อยู่ที่ 27,019 ล้านบาท (+14% YoY) และ 30,246 ล้านบาท (+12% YoY) โดยมองว่าความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตามระยะสั้น หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังคงได้รับแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกจากความกังวลนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมถึงความกังวลการล็อกดาวน์ในจีน

นอกจากนี้ยังแนะนำ”ซื้อ”หุ้น KCE ราคาเป้าหมาย 80 บาท ประเมินกำไรปกติไตรมาส 1/2565 ที่ 596 ล้านบาท (+18% YoY, 15% QoQ) โดยยังคงเดินหน้าเติบโต YoY จากความต้องการ PCB ที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการปรับขึ้นราคาขาย ขณะที่ลดลง QoQ จากคาดว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในกลุ่มประเทศบางส่วนชั่วคราวผลจากการขาดแคลนชิพ ในช่วงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนทำให้เกิด supply chain disruption โดยประเมินรายได้อยู่ที่ 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 5% QoQ ขณะที่ประเมินอัตรากำไรขั้นต้น จะดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 4/64 อยู่ที่ 25.5% จาก 25.3% จากการปรับขึ้นราคาขายสินค้า  และประสิทธิภาพโรงงานที่ดีขึ้นจากไตรมาส 4/64 แต่ถูกกระทบจากค่าเงินบาทเฉลี่ยที่แข็งค่าขึ้น และราคาทองแดงที่ปรับตัวสูงขึ้น

แนวโน้มไตรมาส 2/65 จะดีขึ้นจากการแก้ปัญหากำลังการผลิตใหม่แล้วเสร็จในไตรมาส 1/65 ผู้บริหารยังมั่นใจว่าปัญหากำลังการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรจะสามารถคลี่คลายได้ในไตรมาส 1/65 โดยแผนเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานที่อยุธยาและลาดกระบังยังเป็นไปตามเดินคือแล้วเสร็จทั้งหมดในไตรมาส 1/65 ส่วนของโรงงานใหม่ที่โรจนะยังเป็นไปตามแผนเดิมคือไตรมาส 2/66

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไรปกติของ DELTA ไตรมาส 1/65 ที่2.5 พันล้านบาท (+28.2% QoQ, +64.2% YoY) กำไรเติบโต QoQ มาจาก GPM ที่ฟื้นตัวเด่น กำไรที่เติบโต YoY มาจากการเติบโตของรายได้กลุ่ม Data Center โดยคาดรายได้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่720.2 ล้านเหรียญ (+1.0% QoQ, +15.3% YoY) ยอดขายเติบโตเด่นจากธุรกิจ Data Center โดยเฉพาะ High-End Data Center เช่นเดียวกับสินค้ากลุ่ม Fan ที่กลับมาเติบโตจากการขยายกำลังการผลิตในโรงงานแห่งที่ 7 อย่างไรก็ดี สินค้ากลุ่ม EV Business ยอดขายทรงตัวถึงชะลอตัวจากการชะลอตัวของฝั่ง Demand จากลูกค้า

นอกจากนี้ คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 23% (+2.87% QoQ, +1.45%YoY) ได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 33.05บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (-1.0% QoQ, +9.1% YoY) และสัดส่วนการขาย Data Center ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง และคาด SG&A ที่ 3.0 พันล้านบาท (+7.9% QoQ, +9.9% YoY) SG&A ส่วนของ Selling Marketing ลดลง เพราะส่วนใหญ่ใช้สนับสนุนการขาย EV Segment แต่ R&D ยังสูงเพื่อสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ EV Car ในพื้นที่ยุโรป ดังนั้นคาดการณ์กำไรไตรมาส 1/65 คิดเป็น 27.6% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 ที่ 8.9 พันล้านบาท (+47% YoY) โดย DELTA จะรายงานผลประกอบการในวันที่ 26 เม.ย.2565 จีงคงคำแนะนำ”เทรดดิ้ง”ด้วยราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี2565 ที่ 430.00 บาทต่อหุ้น

ส่วน KCE แนะนำ”ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 82.50 บาท/หุ้น คาดกำไรปกติไตรมาส 1/65 ที่ 655 ล้านบาท (+1.4% QoQ, +52.1% YoY) กำไรที่ทรงตัว QoQ แม้ไม่ใช่ช่วง High Season จาก GPM ที่ดีขึ้น กำไรที่เติบโต YoY มาจากรายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ที่โตเด่น แนวโน้มเติบโตดีทุกไตรมาสแต่มีความเสี่ยงกรณีรัสเซีย-ยูเครนที่อาจกระทบ Global Automotive Supply Chain ต้องติดตาม

โดยคงประมาณการปี 2565 ที่ 2.8 พันล้านบาท (+23% YoY) อย่างไรก็ดี KCE มีประเด็นการขยายกำลังการผลิตขนาดใหญ่ในช่วง 1 ปีจากนี้ทำให้หุ้นสมควรถูกซื้อขาย สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างน้อยที่ระดับ +1.0SD หากเศรษฐกิจโลกไม่เกิด Recession