ดาวโจนส์ปิดลบ 39 จุด บอนด์ยีลด์-สินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วง ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 39 จุด ท่ามกลางการซื้อขายผันผวน หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งแตะ 2.884% เทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ด้านราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 1% นักลงทุนยังเกาะติดรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการเทศกาลอีสเตอร์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 19 เมษายน มีนาคม 2565 ปิดที่ 34,411.69 จุด ลดลง 39.54 จุด หรือ 0.11% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น และการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,391.69 จุด ลดลง 0.90 จุด, -0.02%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,332.36 จุด ลดลง 18.72 จุด, -0.14%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 2.884% สูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2018 ขณะที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 108.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 1.46 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ 113.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แซม สโตวัล หัวหน้านักกลยุทธการลงทุนของ CFRA กล่าวว่า ข้อกังวลใหญ่คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแค่ไหน เพราะสงครามยูเครน และเงินเฟ้อไม่มีประเด็นใหม่ ส่วนเฟดก็คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งต่อไป คำถามคือเกิดอะไรขึ้นกับพันธบัตร

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น โดยหุ้นแอปเปิล ลดลง 0.13% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 0.96%

หุ้นทวิตเตอร์ เพิ่มขึ้น 7.48% หลังคณะกรรมการบริหารบริษัทประกาศใช้กลยุทธ์ poison pill ขัดขวางไม่ให้นายอีลอน มัสก์ เข้าฮุบกิจการทวิตเตอร์ด้วยการเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้นในวันจันทร์ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและวิธีที่บริษัทต่างๆ จะจัดการกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในการประเมินอนาคต ราคาข้าวโพดแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีในวันจันทร์ และก๊าซธรรมชาติพุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008

นักลงทุนยังเกาะติดการรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการประเมินแนวโน้มและการจัดการกับผลกระทบเงินเฟ้อจากบริษัท หลังผลการดำเนินงานของธนาคารใหญ่ที่ผสมปนเปกัน ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะหุ้นที่จัดว่าเป็น defensive stock และกลุ่มที่จัดว่าช่วยป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ มีการคาดการณ์ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

จนถึงตอนนี้ ประมาณ 7% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกและ 77% ของบริษัทเหล่านี้มีกำไรต่อหุ้น (EPS) ดีกว่าคาด

หุ้นชาร์ลส์ ชวาบ คอร์ปอเรชั่น (Charles Schwab Corporation) ลดลง 9.47% หลังรายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าการคาด หุ้นแบงก์ออฟนิวยอร์ก เมลลอนลดลง 2.2% จากกำไรที่ต่ำกว่าคาด

ตลาดยุโรปปิดทำการเมื่อวานนี้เนื่องในเทศกาลอีสเตอร์