ดาวโจนส์ปิดลบ 113 จุด ผลประกอบการแบงก์ไม่สดใส

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 113 จุด หลังผลการดำเนินงานแบงก์แนวโน้มไม่ชัดเจน กังวลเงินเฟ้อเดือนมี.ค.พุ่ง ด้านบอนด์ยีลด์ สหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งแตะ 2.8% ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วง ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงกว่า 2.14% ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นกว่า 2% WTI เพิ่ม 2.70 ดอลลาร์ ด้านตลาดหุ้นยุโรปบวก ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ย จะยุติการซื้อพันธบัตรภายใต้โครงการ APP ในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่ระบุไว้ ก่อนเริ่มขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 14 เมษายน มีนาคม 2565 ปิดที่ 34,451.23 จุด ลดลง 113.36 จุด หรือ 0.33% จากผลการดำเนินงานของธนาคารที่ยังไม่บ่งชี้แนวโน้มชัดเจน และจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อเดือนมีนาคมที่สูงขึ้น

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,392.59 จุด ลดลง 54.00 จุด, -1.21%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,351.08 จุด ลดลง 292.51 จุด, -2.14%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นกลับไปสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี โดยเพิ่มขึ้น 13 จุดมาที่ระดับ 2.8% ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลงโดยหุ้นไมโครซอฟต์ ลดลง 2.7% หุ้นแอปเปิลลดลง 3% และหุ้นกูเกิลลดลง 2.4% หุ้น Nvidia ลดลงราว 4.3% และหุ้น AMD ลดลงราว 4.8%

อีลอน มัสก์เสนอซื้อ Twitter ในราคา 54.20 ดอลลาร์ต่อหุ้น หุ้นTwitter ลดลงราว 1.7% หุ้นเทสลาลดลง 3.6%

รายงานเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ทำให้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุมเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง

นักลงทุนวิเคราะห์ผลประกอบการรายไตรมาสจากเวลลส์ ฟาร์โก โกลด์แมน แซคส์ มอร์แกนสแตนเล่ย์ และซิตี้กรุ๊ป ซึ่งสะท้อนถึงการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยสดใสในปี 2022 โดยผลกำไรส่วนใหญ่ลดลง เทียบกับปีที่แล้ว

หุ้นโกลด์แมน แซคส์ลดลง 0.1% หุ้นมอร์แกน สแตนเล่ย์เพิ่มขึ้น 0.7% จากกำไรและรายได้ไตรมาสแรกดีกว่าคาด หุ้นเวลลส์ ฟาร์โกลดลง 4.5% จากรายได้ไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าคาด และธนาคารคาดว่าแนวโน้มอาจจะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการคาดการณ์ กำไรต่อหุ้น (EPS) ไตรมาสแรกโดยรวลง 0.7% แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ EPS ไตรมาสสองเพิ่มขึ้น 1.6% ไตรมาสที่สาม เพิ่มขึ้น 3.9% จาก ไตรมาสที่สี่เพิ่มขึ้น 2.4% และเพิ่มขึ้น 2.0% สำหรับทั้งปี 2022

นักเศรษฐศาสตร์ที่แบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุในบทวิเคราะห์สัปดาห์นี้คาดการณ์ว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกจะฟื้นตัวได้ แม้มีข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจมหภาคตลอดไตรมาส

ในสัปดาห์หน้าจะมีการรายงานผลประกอบการมากขึ้นจากบริษัท blue-chip เจ็ดราย ได้แก่ ไอบีเอ็ม, พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล, แทรเวลเลอร์, ดาว อิ้งค์, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส และ เวอไรซอน เน็ตฟลิกซ์ ในวันอังคารและเทสลาในวันพุธหลังปิดตลาด

ในกลุ่มธนาคาร แบงก์ ออฟ อเมริกา และ แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลอนจะรายงานในวันจันทร์ รวมไปถึงกลุ่มขนส่ง และกลุ่มสายการบิน ทั้งยูไนเต็ดแอร์ไลน์ อเมริกันแอร์ไลน์

ยอดค้าปลีกเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่า0.6% ที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้น 6.9%

กระทรวงแรงงานรายงานการขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ที่แล้ว ณ วันที่ 9 เมษายนเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 18,000 ราย มาที่ 185,000 รายและสูงกว่า 170,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 65.7 จาก 59.4 ในเดือนมีนาคมและสูงกว่าการลดลงไปที่ 59.0 ที่นักวิเคราะห์คาด

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดบวก ท่ามกลางการซื้อขายอย่างระมัดระวัง โดยกลุ่มเดินทางและสันทนาการเพิ่มขึ้น 3.19% หลังจากธนาคารกลางสหภาพยุโรป(European Central Bank:ECB)ยืนยันการยุติโครงการ Asset Purchase Programme (APP)

ที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ไว้ที่ระดับ 0% ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ไว้ที่ระดับ -0.50% รวมทั้งคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

ECB จะยุติการซื้อพันธบัตรภายใต้โครงการ APP ในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 459.82 จุด เพิ่มขึ้น 3.04 จุด, +0.67%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,616.38 จุด เพิ่มขึ้น 35.58 จุด, +0.47%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,589.35 จุด เพิ่มขึ้น 47.21 จุด, +0.72%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,163.85 จุด เพิ่มขึ้น 87.41 จุด, +0.62%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 2.70 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 106.95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 2.92 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 111.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล