ดาวโจนส์ปิดบวก 137 จุด บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดดัชนี S&P 500-Nasdaq ร่วง

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดคนละทิศทาง ดัชนีดาวโจนส์บวก 137 จุด นักลงทุนตอบสนองท่าทีของเฟดส่งสัญญาณเชิงรุกเพื่อคุมเงินเฟ้อ ด้านดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ลบ แรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี พุ่งเหนือ 2.7% ราคาน้ำมันดิบพื้นตัว WTI เพิ่มขึ้น 2.23 ดอลลาร์ ด้านตลาดหุ้นยุโรปบวก เกาะติดนโยบายเฟด สงครามรัสเซีย-ยูเครน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 8 เมษายน 2565 ปิดที่ 34,721.12 จุด เพิ่มขึ้น 137.55 จุด หรือ 0.40% นักลงทุนยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,488.28 จุด ลดลง 11.93 จุด, -0.27%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,711.00 จุด ลดลง 186.30 จุด, -1.34%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำการลดลง เนื่องจากนักลงทุนเทหุ้นที่เสี่ยงสูง เพราะเกรงว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะจำกัดการเติบโตของกำไรในอนาคตของกลุ่ม โดยหุ้นเทสลาลดลง 3% หุ้นอัลฟาเบทลดลง 1.9% หุ้นแอปเปิลลดลง 1.2% ด้านหุ้นผู้ผลิตชิป Nvidia และ Micron ซึ่งเผชิญปัญหาการชะงักของซัพพลายเชนและความกังวลเรื่องภาวะถดถอยที่อาจจะเกิดขึ้น ลดลง 4.5% และ 1.4% ตามลำดับ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อวันศุกร์ โดยเพิ่มขึ้นเหนือ 2.7% จาก 2.38% ที่ปิดในสัปดาห์ก่อน และจากต้นปีที่ 1.63%

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 1.8% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 1.7% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 2.3%

นักลงทุนตอบสนองต่อท่าทีของเฟดที่ส่งสัญญาณว่าจะดำเนินการเชิงรุกเพื่อคุมเงินเฟ้อ อีกทั้งความเห็นล่าสุดที่หลากหลายเกี่ยวกับเส้นทางนโยบายจากเจ้าหน้าที่เฟดยังคงอยู่ความสนใจของนักลงทุน โดยนายเจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ย fed fund rate อยู่ที่ 3%- 3.25% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งหมายความว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกในระยะสั้น

ขณะที่นางลาเอล เบรนาร์ด ผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) “พร้อมที่จะดำเนินการอย่างแข็งขัน” หากเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นและเปิดทางให้ดำเนินการ

ด้านนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า “เหมาะสม” ที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง “เข้าใกล้สถานะที่ปกติมากขึ้น” ซึ่งบ่งชี้ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง ในขณะเดียวกัน นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโก กล่าวว่าเฟดจะสามารถ “เข้าสู่ภาวะปกติ มองไปรอบๆ และพบว่าเราไม่ได้อยู่ไกลจากจุดที่เราต้องไปมากนัก”

เคที บอสยานซิก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ Oxford Economics กล่าวว่า“เครื่องมือหลักของเฟดคือ Fed’s funds rate แต่เฟดกำลังจะดึงสภาพคล่องออกจากระบบ โดยจะลดการซื้อหลักทรัพย์ลงหนึ่งล้านล้านต่อปี หมายถึงสภาพคล่องจำนวนมากที่ถูกนำออกจากระบบและนักลงทุนเอกชนจะต้องเข้ามาแทน”

กระทรวงพาณิชย์ รายงานสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 2.5%จากเดือนก่อนหน้า และสูงกว่า 2.1% ที่นักวิเคราะห์คาด เมื่อเทียบรายปีเพิ่มขึ้น 19.9%

นักลงทุนรอการรายงานผลการดำเนินงานที่จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเริ่มด้วยจากธนาคารใหญ่ 5 แห่ง เจพีมอร์แกนจะรายงานก่อนเปิดตลาดในวันพุธ ส่วนซิตี้กรุ๊ป โกลด์แมน แซคส์มอร์แกน สแตนเลย์ และเวลลส์ ฟาร์โก จะรายงานก่อนตลาดเปิดในวันพฤหัสบดี

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดบวก โดยกลุ่มน้ำมันและก๊าซเพิ่มขึ้น 3.2% นักลงทุนยังเกาะติดแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) รวมทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศส

แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในเชิงรุกได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนในสัปดาห์นี้ โดยเฟดส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะเร่งดำเนินการเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติสั่งถอนรัสเซียออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จากการสังหารหมู่พลเรือนชาวยูเครน และสภาคองเกรสของสหรัฐฯได้ยกเลิกสถานะการค้า most favored nation ที่ให้กับรัสเซีย ส่วนสหภาพยุโรปห้ามการนำเข้าถ่านหิน

นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความปั่นป่วนทางการเมืองในฝรั่งเศส โดยมารีน เลอ แปง ผู้นำฝ่ายขวาจัดได้รับคะแนนนิยมใกล้เคียงกับนายเอ็มมานูเอล มาครง ในการสำรวจความคิดเห็นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรกในวันอาทิตย์นี้

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 463.07 จุด เพิ่มขึ้น 0.88 จุด, +0.19%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,613.72 จุด เพิ่มขึ้น 54.80 จุด, +0.72%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,645.51 จุด ลดลง 85.86 จุด, -1.28%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,424.36 จุด ลดลง 93.80 จุด, -0.65%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 2.23 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 98.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนเพิ่มขึ้น 2.2 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 102.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล