3 สุดยอดนักวิเคราะห์แจกหุ้นเด่น แนะปรับพอร์ต Q2 หากำไรสูง

HoonSmart.com>>บล.เอเซีย พลัสให้เป้าดัชนีหุ้นปีนี้ที่ 1,810 ฟันด์โฟลว์เข้าต่อ กองทุนไทยจะเริ่มกลับมาซื้อ กำไรบจ.โตดี เชียร์ 6 หุ้นเด่น พอร์ตลงทุนต้องมี LH-SCC ปันผลสูงกว่า 4% บล.ทิสโก้ให้เป้า 1,750  หวังนักท่องเที่ยวกลับมาดีต่อสื่อสาร CPALL-MAKRO ส่วนMINT-ERW ยังไปต่อ 3 แบงก์ใหญ่น่าสน ต้องมี BDMS พลังงานยก PTT-PTTGC เตือน PTTEP ขึ้นมามากแล้ว บล.โนมูระมองQ 2 เป็นโอกาสสำคัญปรับพอร์ตแถว 1,600  ลุ้นต่างชาติซื้ออีก 1 แสนล้าน  

วันที่ 31 มี.ค. 2565 สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน มอบรางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมประจำปี 2564  โดยเชิญผู้ได้รับรางวัลมาให้มุมมองการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ พร้อมกลยุทธ์ และหุ้นเด่น โดยนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า บริษัทฯให้เป้าหมายดัชนีปี 2565 ที่ 1,810 จุด มองภาพการลงทุนในช่วง 9 เดือนค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีหลายปัจจัยเข้ามากระทบก็ตาม จากเงินต่างชาติไหลเข้ามาสะสม 1 แสนล้านบาทแล้ว ยังเห็นแนวโน้มค่อยๆเข้ามาต่อ ส่วนสถาบันในประเทศขายหุ้นรวม 8 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาข้อมูลของกองทุนไทยที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะหุ้นไทยจำนวน 370 กอง บริหารสินทรัพย์ 5.6 แสนล้านบาท พบว่ามีการถือเงินสดสูงกว่าปกติ 5% อยู่จำนวนมาก น่าจะมีแรงขายน้อยลงและมีโอกาสพลิกกลับมาซื้อได้

ขณะเดียวกัน กำไรต่อหุ้นของตลาดยังคงเติบโต คาดไว้ 88.9 บาท หากใช้ราคาน้ำมันดิบในปัจจุบันกำไรต่อหุ้นอาจจะสูงถึง 93-94 บาท /หุ้น ส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มคอมมูนิตี้ที่มีสัดส่วน 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นไทยและหุ้นฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า สถานการณ์สงครามยูเครนยังไม่จบ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยผ่านไปได้ แต่กลัวสงครามด้านเศรษฐกิจ หลายประเทศคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ปริมาณการค้าของโลกชะลอตัว และเกิดซัพพลายสินค้าช็อค  รัสเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกส่วนใหญ่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้นทางวัตถุดิบ ไทยเจอราคาอาหารสัตว์และราคาน้ำมันที่แพง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไป แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี เฟดยังคงดำเนินนโยบายตึงตัว แต่ต้องระวังหลัง การปรับขึ้นดอกเบี้ยยังมีอยู่ แต่กังวลการลดขนาดงบดุลของเฟดมากกว่า จะทำให้สภาพคล่องลดลง นับเป็นความเสี่ยง

ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ค่อยๆ สะสมหุ้น ธีมที่น่าลงทุนมองหุ้นเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจได้แก่ AEONTS ,MAJOR ราคาลงมามาก มีเงินพร้อมลงทุนค่อนข้างสูง ธนาคารพาณิชย์ก็น่าสนใจ เลือก KBANK   ส่วน GPSC มาร์จิ้นจะดีขึ้นในไตรมาส 2 ถ้าราคาก๊าซลงมา SAPPE ราคาถูกกว่าหุ้นในกลุ่ม หลังได้รับผลกระทบจากบรรจุภัณฑ์ต้นทุนสูง และไตรมาส 2 เป็นช่วงฤดูกาลขาย

สำหรับหุ้นใหญ่ควรมีไว้ในพอร์ต ผลตอบแทนปันผล 5-6% ต่อปี เลือก LH กำไรน่าจะกลับเติบโตจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นและบริษัทลูกก็ดีขึ้น  SCC เหมาะถือลงทุน 2 ปี กำลังจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว  ปี 2565 กำไรโตเล็กน้อย ปีต่อไปจะเริ่มเก็บเกี่ยวเงินลงทุนโครงการปิโตรเคมีทีเวียดนามช่วยขับเคลื่อนราคาหุ้นและผลตอบแทนปันผล 4.5%

ด้านนายฐาปน พานิช หัวหน้าสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า บริษัทฯให้เป้าหมายดัชนีปีนี้ที่  1,720 จุดแทบไม่ได้ปรับ ส่วนปี 2566-2567 อยู่ที่  1,820 จุด และ 1,780 ตามลำดับ การลงทุนแนะธีมเงินเฟ้อสูง PTTEP ขึ้นมามากแล้ว หากราคาน้ำมันลง ราคาก็จะลง เลือก PTT,PTTGC คาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมา ดีต่อท่องเที่ยว  MINT ERW ราคาขึ้นมากแล้วแต่ไปต่อ ค้าปลีกบางตัว CPALL,MAKRO กลุ่มธนาคาร เลือก 3 แบงก์ใหญ่ BBL,SCB,KBANK  กลุ่มสุขภาพ BDMS  ควรจะมีในพอร์ต เพื่อบริหารความเสี่ยงเงินเฟ้อ  สื่อสาร ก็จะได้ดีจากนักท่องเที่ยว การรวม TRUE-DTACหนุนราคาหุ้น แต่อาจจะมีการแย่งตลาด หากราคาหุ้น 2 ตัวขึ้นแล้ว ก็ต้องหาแหล่งลงทุนใหม่ ธีมเงินเฟ้อสูง

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ไตรมาสที่ 2 เป็นจังหวะสำคัญในการปรับพอร์ต เน้นหุ้น Growth  รับแรงเสียดทานเศรษฐกิจโตช้า จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ราคาน้ำมันดิบจะสูงเกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลตลอดไตรมาส ก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะกลาง ไทยคงใช้นโยบายการคลังแก้ปัญหาเงินเฟ้อ คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ตลอดปี ขณะที่ต่างประเทศปรับขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจ หุ้นกลุ่มเทคที่ลงมา ก็น่าสนมาก

แนวโน้มครึ่งหลังเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้น ตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต้นปีหน้าจะมีนักท่องเที่ยวจีน  ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติถือหุ้นไทย 23% ตอนนี้ถือ 17.5% เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว มีโอกาสต่างชาติเพิ่มการถือหุ้นมา 19-20% คาดว่าต่างชาติจะเข้ามารวม 2 แสนล้านบาท หลังจากเข้ามาแล้ว 1 แสนล้านบาท รอจับจังหวะและโอกาสที่ดีในไตรมาสที่ 2 สร้างผลตอบแทนปีหน้า หากราคาน้ำมันดิบ 120 เหรียญ จะส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม ถ้าราคายืน 100 เหรียญปีนี้ คาดเศรษฐกิจจะโต 3.7% เงินเฟ้อ 4.3-4.5% กำไรต่อหุ้นของตลาดโต 9-12%

” โนมูระคาดเป้าหมายดัชนีปีนี้ 1,750 จุด  จะไม่หลุด 1,500 จุด  กลยุทธ์ถ้าตลาดพักตัวแถว 1,600  จุดบวกลบ จะเป็นจุดที่น่าสนใจไตรมาสที่ 2 แนะนำซื้อ BCP,TOP, BDMS, BCH ,ADVANC, DTAC, MAKRO, GPSC, JMT, TIDOR,KCE    ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็กแนะนำ PYLON, BE8,JMART,BCPG”นายกรภัทรกล่าว

ธีมการลงทุน เงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่สูง  โรงกลั่นน่าจะมีแนวโน้มกำไรที่ดี มอง TOP, BCP เด่น  ส่วนโรงพยาบาล BDMS และ BCH จะมีรายได้นอกกลุ่มโควิด และลูกค้าต่างชาติเข้ามาแล้ว จากการสอบถามข้อมูลพบว่าในเดือนก.พ.-มี.ค.มีลูกค้าจากตะวันออกกลางกลับมาดีขึ้นมาก อาจจะเห็นกำไรในไตรมาส 1 โตมากกว่า 25% ดีกว่าที่ตลาดคาด นำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการ ธุรกิจไอซีทีจะมีกำไรเติบโตได้ในปีนี้  ส่วน GPSC กำไรจะเติบโตทุกปี แต่ราคาย่อลงมามาก แนวโน้ม
เศรษฐกิจจะฟื้นตัวแบบ U ดีต่อ JMT และ TIDLOR  ธุรกิจค้าปลีกจะไม่ดีในช่วงสั้น แต่ธีมระยะยาวบวก  MAKRO มีส่วนลดจากราคาเป้าหมายมากที่สุด  และ KCE การปรับฐานจบแล้ว โรงงานใหม่จะเพิ่มกำลังการผลิตและกำไรโตระยะยาว

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 31 มี.ค.2565 ดัชนีขึ้นไปสูงสุด 1,701.95 จุด แต่ปิดที่ระดับ 1,695.24 จุด ลดลง 3.16 จุด หรือ -0.19% มูลค่าซื้อขาย 71,203.95 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อน้อยลงเพียง 391.36 ล้านบาท นักลงทุนไทยขาย 361.60 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 119.12 ล้านบาท

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นแกว่งไซด์เวย์ วอลุ่มเทรดค่อนข้างน้อย นักลงทุนเริ่มพักหลังจากที่ปรับขึ้นมาหลายวัน และยังต้องรอดูความชัดเจนสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย และยูเครน ซึ่งจะมีการเจรจากันอีกครั้งในวันที่ 1 เม.ย.นี้ รวมทั้งรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันศุกร์นี้

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดในแถบเอเชียเหนือจะปรับตัวลงหลังจากที่ตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาต่ำกว่าคาด ขณะที่ตลาดในแถบเอเชียล่างจะเคลื่อนไหวในแดนบวกได้เล็กน้อย

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 1 เม.ย.2565 ตลาดแกว่งตัวในกรอบ โดยมีแนวรับ 1,690 จุด แนวต้าน 1,700 จุด