HoonSmart.com>> “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดกนง. ประชุม 30 มี.ค.นี้ ยังคงดอกเบี้ยที่ 0.5% ให้น้ำหนักต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลัก แม้มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยังมีความเสี่ยง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า การประชุมกนง. ที่จะถึงนี้ คาดว่ากนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ดี กนง. คงเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ วิกฤติรัสเซีย-ยูเครนได้ส่งผลให้ราคาพลังงาน รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะยิ่งไปเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของไทย และไปบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค
นอกจากนี้ วิกฤติรัสเซีย-ยูเครนยังมีผลต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของไทยและการส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าเป็นสำคัญ ดังนั้น ท่ามกลางความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่ากนง. จะยังพิจารณาคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ในการประชุมที่จะถึงนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยกนง. คงจะให้น้ำหนักต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลักแม้ว่าจะมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี กนง. คงเผชิญความท้าทายมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ท่ามกลางแนวโน้มราคาพลังงานที่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไปในระยะข้างหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2565 อยู่ที่ 4.5% อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นนั้นเกิดจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อได้อย่างตรงจุดเท่าใดนัก อีกทั้งจะยิ่งไปบั่นทอนการบริโภคและการลงทุนไปมากกว่าเดิม
“คาดว่ากนง. คงจะยังไม่พิจารณาเลือกใช้นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดกันเงินเฟ้อตามทิศทางธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก ขณะที่นโยบายการคลังคงมีบทบาทสำคัญในการช่วยเยียวยาผลกระทบของครัวเรือนจากปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น”ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ
อย่างไรก็ดี ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงจะสร้างแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ครั้งที่ผ่านมา เฟดได้เริ่มวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นโดยมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 0.25-0.50%
อีกทั้ง เฟดยังได้ส่งสัญญาณจะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมครั้งหนึ่งหรือหลายครั้งในระยะข้างหน้า ซึ่งช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยและสหรัฐฯ ที่กว้างขึ้น รวมถึงหากเงินเฟ้อในไทยยืนในระดับสูงต่อเนื่องจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยติดลบมากขึ้น เป็นการเปิดความเสี่ยงทางด้านเสถียรภาพการเงิน
ดังนั้น กนง. คงพิจารณาสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเป็นรอบๆ ไป โดยชั่งน้ำหนักความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันเงินทุนไหลออก รวมถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ซึ่งแรงกดดันน่าจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หากภาคการท่องเที่ยวไทยไม่ฟื้นตัวตามที่คาดเนื่องมาจากผลกระทบจากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบมากกว่าที่ประเมิน เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงอาจเผชิญการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบอีกครั้งในปีนี้ ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้อยู่ในทิศทางอ่อนค่าไปอีก
ทั้งนี้ ในการประชุมกนง. ครั้งนี้จะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งตลาดคงจะต้องติดตามการปรับประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของกนง. เนื่องจากจะเป็นการสะท้อนมุมมองของกนง. ในการพิจารณานโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ากนง. คงจะมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ลงไม่มากนักจากประมาณการเดิม ณ เดือน ธ.ค. 2564 ที่ 3.4% แต่หากกนง. มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจเพิ่มแรงกดดันต่อตลาดเงินตลาดทุนได้ในระยะอันสั้น