“คิงส์ฟอร์ด” คาดดัชนี Sideway Down 1,660 – 1,668 จุด แนะ BCP-TACC

HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด มองแนวโน้มดัชนี Sideway Down ตามภูมิภาค แนวรับแรก 1,668 จุด แนะซื้อ PTTEP-PTT-BLA เก็งกำไร GUNKUL-JMART-TEAMG ส่วนแนวต้าน 1,680 จุด หุ้นแนะนำประจำวัน BCP-TACC

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET เคลื่อนไหวกรอบแนวรับ 1,660 – 1,668 จุด แนวต้าน 1,680 – 1,685 จุด คาดมีแนวโน้ม Sideway Down ตามดัชนีภูมิภาค แนะนำซื้อบริเวณแนวรับเช่น PTTEP, PTT (+ราคาน้ำมัน)/ BLA (+Bond Yield ปรับขึ้น) และเก็งกำไร GUNKUL, JMART, TEAMG

วันนี้ติดตาม ก.พาณิชย์ รายงานส่งออก ก.พ.คาด +10% และม.ค. +8% YoY และมุมมองผลกระทบส่งออกไทยจากวิกฤตรัสเซีย – ยูเครน

ด้านดัชนีหุ้นสหรัฐวานนี้ปรับลดลงจากความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มสูงขึ้น หลังการเจรจารัสเซีย – ยูเครนไม่คืบหน้า ขณะที่วันนี้ประธานาธิบดีไบเดนจะหารือกับผู้นำ G-7 และสมาชิกนาโต้ต่อการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย แม้ว่าข้อเสนอระงับนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียคาดชาติยุโรปจะไม่ยอมรับ เนื่องจากยุโรปต้องพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียคิดเป็นสัดส่วน 40%

ส่วนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐนั้น ประธานเฟดสาขาคลิฟแลนด์หนุนให้เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งปีแรก โดยปรับขึ้น 0.50% ในการประชุมบางครั้ง รวมถึงเริ่มลดขนาดงบดุล เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐปรับฐานลง โดย CME Fed Watch ชี้มีโอกาส 66.1% เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม 4 พ.ค. นี้

ส่วนรายงาน Core CPI อังกฤษ ก.พ.+5.2% สูงกว่าคาด +5% &ม.ค. +4.4% YoY ซึ่งมีโอกาส BOE จะเป็นขึ้นดอกเบี้ยจากปัจจุบันที่ 0.75% ขึ้นไปที่ระดับ 2.0% ภายใน 1 ปีข้าง

ประเด็นสำคัญวันนี้ติดตามการเจรจาสหรัฐกับนาโต้ที่เบลเยี่ยม

หุ้นแนะนำวันนี้ BCP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท) ปัจจัยหนุนมาจากค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูป ขณะที่ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นจากภาวะอุปทานตึงตัว ส่งผลบวกต่อการรับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมัน รวมถึงธุรกิจ E&P ที่มีการส่งก๊าซและน้ำมันดิบเข้าสู่ยุโรปจะได้รับประโยชน์จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยผลประโยชน์ดังกล่าวเพียงพอที่จะช่วยชดเชยธุรกิจการตลาดที่ถูกกระทบจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหน้าสถานีบริการ และรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล

หุ้น TACC* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 9.05 บาท) ทางบ.ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปีนี้ที่ราว 10-15%YoY ขณะที่ตัวธุรกิจของ TACC* เองเรามองว่ามีความยืดหยุ่นไม่ว่าจะเป็นการปรับไซส์แก้วหรือการออกเครื่องดื่มใหม่เพื่อปรับ Margin และจากสถานการณ์ในปัจจุบัน การผ่อนคลายม.ควบคุมต่างๆในประเทศไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เราคาดว่าผลกระทบจาก Omicron จะน้อยกว่า Delta จะส่งผลให้ยอดขาย B2B ในส่วนของร้าน 7-11(All Cafe) ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ทาง TACC* ยังมีโอกาสที่จะขยายไปยังลาว/กัมพูชาตาม7-11 (ซึ่งในกัมพูชามีการเริ่มเปิดสาขาที่พนมเปญไปแล้ว) และสาขาของ Lotus’s go fresh (ผ่านทาง Jungle Cafe) ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 และ ปี66 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 64 ที่ 0.35 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 0.39 บาท/หุ้น, และ 0.44 บาท/หุ้น ตามลำดับ