MFC : Market Volatility Ease

Highlighted Funds

MGF : ลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นประเภทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นได้ดี

M-EDGE : โอกาสลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และเติบโตอย่างยั่งยืน คัดเลือกลงทุนหุ้นคุณภาพดี สามารถสร้างมูลค่าได้เหนือกว่าดัชนีหุ้นโลก อีกทั้ง กองทุนกระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่มี business cycle ต่างกัน และหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง

M-BT : กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่นที่คัดสรรหุ้นไทยที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มากด้วยประสบการณ์และมีกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่ยืดหยุ่นตามสภาวะตลาด ที่มีความผันผวน

MEURO : ปัจจุบันเราเริ่มเห็นตลาดหุ้นยุโรปดัชนี STOXX600 ได้ถูกปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯดัชนี S&P500 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังมีมูลค่าที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี STOXX600 และดัชนี S&P500 อยู่ที่ระดับ -2S.D.

M-EUBANK : หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยหุ้นกลุ่มธนาคารยุโรปมี Valuation ค่ อนข้างถูก มี P/BV Ratio 0.75 เท่า เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ที่มี P/BV Ratio 1.45 เท่า นอกจากนี้หุ้นกลุ่มธนาคารยุโรปได้รับการปรับประมาณการกำไรมากกว่าหุ้นกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ

Investment Strategy

เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ในการประชุมFOMCเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 65 โดย Dot Plot หรือประมาณการการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในทุกการประชุมที่เหลือของปีนี้ (อีก 6 ครั้ง) จนทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 2565 อยู่ที่ระดับ 1.75%-2.00% ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด

ขณะที่การลดขนาดงบดุล (QT) เฟดยังไม่ได้มีการประกาศเริ่มลดสภาพคล่องในการประชุมรอบนี้ แต่คาดว่าจะประกาศในการประชุมรอบถัดไปเดือน พ.ค. เฟดมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2565 ลงสู่ระดับ 2.8% จากเดิมที่ระดับ 4.0% จากผล กระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน พร้อมชี้แจงว่าเฟดยังไม่เห็นถึงโอกาสที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดี ถึงแม้ว่าเฟดจะทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้เฟดยังปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตรเงินเฟ้อปี 2565 สู่ระดับ 4.3% และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ในปี 2566-2567 สู่ระดับ 2.7% และ 2.3% ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวที่ระดับ 2%

ขณะที่คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1.9% หลังจากนั้นในอีก 2 ปีข้างหน้า ดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นไปที่ระดับ 2.8% ซึ่งจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวที่ 2.4% ไปเล็กน้อยเพื่อ ชะลอความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ ติดตามการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครน

โดยล่าสุดรัสเซียได้ยกระดับการโจมตีด้วยขีปนาวุธ Kinzhal ที่มีความเร็วเหนือเสียงโจมตีคลังอาวุธใต้ดินของยูเครน ใกล้เมืองโอเดสซา ขณะที่รัสเซียสามารถชำระดอกเบี้ยพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ 2 ฉบับ วงเงินรวม 117 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ได้สำเร็จ

เรามองว่า หลังจากนี้ความผันผวนของตลาดจะ ค่อย ๆ ลดลงและนักลงทุนจะหันไปให้ความสนใจกับผลประกอบการไตรมาส 1 ที่จะประกาศในเดือน เม.ย.-พ.ค. เรามองว่าตลาดได้รับรู้ (Priced in) แนวทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนไปมากแล้ว ซึ่งสังเกตได้จาก Volatility Index ที่ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดบริเวณ 38 จุด มาอยู่ที่บริวเณ 23 จุด