HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น” เป็น BBB จาก BBB+ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน เป็น BBB- จาก BBB หนี้เพิ่มขึ้นมากเป็น 1.97 หมื่นล้านบาทในปี 64 จากระดับต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทในปี 61 ลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินและลูกหนี้การค้ามีจำนวนมาก แนวโน้มอัตรากำไรจะลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า
บริษัท ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) มาอยู่ที่ระดับ BBB จากระดับ BBB+ และลดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันอยู่ที่ระดับ BBB- จากระดับ BBB ในขณะเดียวกัน ทริสยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น คงที่ จาก ลบ
การลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของหนี้สิน และอัตรากำไรที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงขีดความสามารถในการแข่งขันในการรับงานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่และงานในมือจำนวนมากที่จะช่วยประกันรายได้ในช่วงหลายปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็ลดทอนลงจากการที่บริษัทพึ่งพางานก่อสร้างขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการค่อนข้างสูงตลอดจนลักษณะของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีวงจรธุรกิจผันผวนเป็นอย่างมากและมีการแข่งขันที่รุนแรง
สถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยระยะเวลาในการเรียกเก็บเงินที่ยาวนานขึ้นจนทำให้ลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินและลูกหนี้การค้ารวมกันมีจำนวนมากได้ส่งผลให้หนี้สินรวมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 1.97 หมื่นล้านบาทในปี 2564 จากระดับต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทในปี 2561 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงถึง 7.1 เท่าในปี 2564 จากในอดีตที่ระดับ 2-4 เท่า
ทริสคาดว่าในอนาคตสถานะทางการเงินของบริษัทจะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไป ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและแนวโน้มที่ต้นทุนในการดำเนินงานและภาระทางการเงินจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยทริสประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะสูงเกินกว่า 5 เท่าซึ่งเป็นระดับที่ทริสเคยกำหนดไว้ก่อนการลดอันดับเครดิตในครั้งนี้ ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ในช่วง 11%-12% เมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่สูงกว่า 20%
นอกจากนี้ยังคาดว่าอัตรากำไรมีแนวโน้มที่จะลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยการแข่งขันที่รุนแรงรวมทั้งราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากนั้นอาจสร้างแรงกดดันอย่างมีสาระสำคัญต่ออัตรากำไรขั้นต้น นอกจากนี้ ความยากลำบากในการบริหารจัดการงานก่อสร้างในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจทำให้บริษัทมีต้นทุนที่สูงขึ้นได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสคาดว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเมื่อเทียบกับรายได้แล้วจะลดต่ำลง เนื่องจากรายได้จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการประหยัดจากขนาดจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดกับอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ได้
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วง 14%-16% ในระหว่างปี 2565-2567 โดยลดลงจากระดับ 18%-20% ในอดีต คาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ จะอยู่ในช่วง 17%-18% ต่ำกว่าระดับ 19%-22% ในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะลดต่ำลงแต่ก็ยังสูงกว่าของคู่แข่งที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่มีอัตราอยู่ในช่วง 10%-14% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทเกิดจากการรวมศูนย์ต้นทุนไว้ที่ส่วนกลางและการมีอำนาจในการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายวัสดุที่เพิ่มสูงขึ้น โดยบริษัทจะยังคงรักษาสถานะในการเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในงานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเอาไว้ได้ ด้านผลงานได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย และโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี)
ทริสคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสม โดย ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 1.97 หมื่นล้านบาทซึ่งประมาณครึ่งหนึ่ง เป็นเงินกู้โครงการระยะสั้นจากธนาคารซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นของระยะเวลาในการชำระหนี้ โดยทริสคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถขยายระยะเวลาการชำระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่นำมาใช้รองรับเงินทุนหมุนเวียนต่อไปได้ ทั้งนี้ บริษัทมีหนี้ระยะยาวจำนวนเกือบ 3.3 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดในปี 2565 ณ สิ้นปี 2564 บริษัทยังมีเงินสดและวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกันจำนวนประมาณ 6.8 พันล้านบาทสำหรับใช้เป็นแหล่งสภาพคล่องอีกด้วย