SCC ชี้ทางรอด ฝ่าวิกฤตต้นทุนบาน รับกำไรหด ปิโตรฯเจอศึกหนัก

HoonSmart.com>>”รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส” เอ็มดี “ปูนซิเมนต์ไทย” ยังยิ้มได้ ยอมรับกำไรได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงาน-วัตถุดิบสูงขึ้นมาก ธุรกิจปิโตรเคมีมีต้นทุนนาฟต้า 70-80% ซีเมนต์-วัสดุก่อสร้างแบกต้นทุนพลังงาน 15-20% บรรจุภัณฑ์เพียง 5%  โชคดี  ยังขายดี การเงินแกร่ง ใช้ประสบการณ์จากโควิดมาปรับใช้กับศึกครั้งนี้ กลยุทธ์ ต้องบริหารความเสี่ยงให้ดีที่สุด องค์กรพร้อมปรับตัวเร็ว ทบทวนลงทุนบางโครงการ ปรับการผลิต

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แถลงเรื่อง “SCG Business Direction 2022 พร้อมกลยุทธ์ปรับตัวบนความท้าทายของวิกฤตโลก” ว่า ราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นมาก ส่งผลต่อธุรกิจปิโตรเคมีของบริษัทอย่างมาก เนื่องจากมีต้นทุนนาฟตาถึง 70-80% ส่วนธุรกิจซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง มีต้นทุนพลังงาน 15-20% และบรรจุภัณฑ์มีต้นทุนพลังงาน 5% ผลกระทบจึงน้อยกว่า

สถานการณ์ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อยอดขายไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทมียอดขายที่มาจากยูเครนและรัสเซียสัดส่วนเพียง 1-2% ของยอดขายรวม และตลาดใหญ่ของบริษัท อยู่ที่เอเชีย อาเซียน ห่างจากสถานการณ์รัสเซีย ยังมีความต้องการค่อนข้างใช้ได้ เป็นข้อดี แต่ยังต้องติดตาม นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมที่จะปรับราคาขายขึ้นตามต้นทุน เพื่อให้เป็นไปตามกลไกตลาด แต่จะทำให้ผู้บริโภครับผลกระทบน้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าคงจะกระทบกับกำไรอย่างแน่นอน ซึ่งบริษัทยังไม่สามารถประเมินตัวเลขได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหม่ ทั้งเงินเฟ้อสูงไม่เคยเจอมาก่อน 20 ปี สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน ถ้าในแวดวงการเงิน การลงทุน ตั้งสมุติฐานในเรื่องภาพตอนจบ มีความต่างกันมาก ราคาน้ำมันตั้งแต่ 100-200 เหรียญ เมื่อคืนพูดกันถึง 300 เหรียญ  และยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะจบลงเมื่อไร  บริษัทพบกับความแน่นอน โดยยังคงบริหารจัดการต้นทุน บริหารจัดการซัพพลายเชน และบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้ดีอย่างต่อเนื่อง

” เรายังยิ้มได้อยู่ เจอมาแล้วว่าจะต้องทำการบ้านอย่างไร หลังจากสอบใหญ่ (โควิด) มาแล้ว ยังพอที่จะสู้ตรงนี้ได้ การเจอภาวะแบบนี้ SCC ถือว่าหนักหน่วงทีเดียว วิธีที่ทำเสมอ คือปรับตัวให้ง่าย ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคาสินค้าที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามตลาด ต้นทุนปรับตามพลังงาน และยืดหยุ่น ยังดีที่สถายการณ์โควิดเบาลง ทำให้ดูตลาดได้ ด้านการเงิน มีกระแสเงินสดเพียงพอ มีหนี้ไม่มากไปจนจัดการไม่ได้ ดูแลต้นทุนดอกเบี้ยให้เหมาะสม”นายรุ่งโรจน์กล่าว

ส่วนกลยุทธ์ระยะยาว สถานการณ์เกิดขึ้น วันนึ่งก็ต้องจบ แต่จะต้องดูว่ามีเรื่องอะไรที่สำคัญในระยะยาว บริษัทยังคงงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 80,000 ล้านบาท โดยกว่า 50% ใช้ลงทุนในโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP 1) ประเทศเวียดนาม ที่ดำเนินการไปแล้ว 90% ต้องดำเนินการต่อให้เสร็จตามกำหนด ส่วนที่เหลือเตรียมไว้สำหรับการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งอาจต้องทบทวนอีกครั้ง หากเป็นโครงการที่มีผลต่อการใช้เงินระยะยาวจะต้องพิจารณาให้มากกว่าปกติ   และปรับการผลิตเท่าที่จำเป็น

สำหรับโครงการพัฒนานวัตกรรม การซื้อกิจการ  การเพิ่มประสิทธิภาพของซัพพลายเชน เรื่องชุมชน เน้นการเพิ่มทักษะ  ยังคงดำเนินการต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัททำเมื่อ 2 ปีก่อนท่ามกลางภาวะค่อนข้างไม่แน่นอน  ส่วนเป้าหมายระยะยาวยังเหมือนเดิม ในการมุ่งเน้นการเติบโตในอาซียน และนำนวัตกรรมมาใช้ ให้ความสำคัญกับ ESG

นายรุ่งโรจน์ให้คำแนะนำการฝ่าวิกฤตครั้งนี้ว่า ธุรกิจอยู่ได้ด้วยกระแสเงินสด หนี้ไม่สูงจนเกินไปนัก ต้นทุนทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญ  ต้องดูแลเป็นกรณีแรก ขณะเดียวกันต้องทำองค์กรให้เบา สามารถปรับตัวได้เร็ว ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจได้ทันที ทั้งเรื่องราคา ต้นทุน และการใช้กำลังการผลิต ผลิตเท่าที่จำเป็น ถ้าสถานการณ์สงบ ราคาทุกอย่างทั่วโลกจะต้องลง จำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงด้วย

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลงต่ำกว่า 120 เหรียญ/บาร์เรล  ส่งผลดีต่อบริษัทที่มีต้นทุนพลังงานสูง เช่น SCC ราคาหุ้นเปิดกระโดดที่ 381 บาท หลังจากนั้นอ่อนตัว ปิดที่ 377 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาทหรือ 1.34% มูลค่าการซื้อขาย 2,469 ล้านบาทและบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ราคาขึ้นไปสูงสุดแตะ 57 บาท กลับมาปิดที่ 55.50 บาท บวก 0.75 บาทหรือ 1.37% มูลค่าการซื้อขาย 1,517.53 ล้านบาท แต่มีการขายหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ หลังราคาปรับขึ้นไปมาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจายังไม่แน่นอนและจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้าคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ดัชนีหุ้นปิดที่ 1,647.08 จุด บวก 3.44 จุดหรือ +0.21% จากที่ขึ้นไปสูงสุดแตะ 1,659.29 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท แรงซื้อมาจากสถาบันไทย 1,959.83 ล้านบาท ต่างชาติซื้อเล็กน้อย 624 ล้านบา ส่วนนักลงทุนไทยขาย 2,064 ล้านบาท

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นบวกได้น้อยกว่าตลาดอื่น เพราะได้ดีดขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว และดัชนีฯยังติดแนวต้านที่ 1,660 จุด ในระหว่างวันราคาน้ำมันในตลาดฟิวเจอร์สได้ปรับตัวขึ้น ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานเด้งขึ้น หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ผลิตน้ำมันเพิ่ม แต่จะทำตามโควตาน้ำมันของกลุ่มโอเปก ดังนั้นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงก็กลับมาลดช่วงบวกลงจากความกังวลราคาน้ำมันดิบจะเด้งขึ้น  และติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.พ.ของสหรัฐฯที่จะออกมาในคืนนี้ ซึ่งตลาดคาดจะปรับขึ้น 7.9%

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 11 มี.ค..2565 ทิศทางตลาดขึ้นกับผลการเจรจาระหว่างรัสเซีย และยูเครน รวมถึงเงินเฟ้อของสหรัฐฯด้วย แต่ดัชนีฯก็คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 1,640-1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,660 จุด

 

อ่านข่าว

หุ้น SCGP บวก 3.65% หลังปรับฐานไปมาก-ได้แรงหนุนราคาน้ำมันร่วง