“เมย์แบงก์” หวั่นฟันด์โฟลว์ไหลกลับ “ตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว” หลังราคาร่วงแรง

HoonSmart.com>> “บล.เมย์แบงก์” ประเมินวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย 3 ด้าน “ห่วงโซ่อุปทานและเงินเฟ้อค่อนข้างรุนแรง” ด้านตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว ปรับฐานลงแรงใกล้เคียงตอนเผชิญวิกฤต COVID-19 เสี่ยงกระแสเงินลงทุนอาจไหลออกตลาดหุ้นไทย Outperform สู่ตลาด หุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป ที่มีส่วนลด

ทีมนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST กล่าวว่า วิกฤต รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาคเศรษฐกิจจริง สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ส่งผลให้มาตรการตอบโต้ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการต่างประเทศ เริ่มขยายวงกว้าง ซึ่งส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวจาก Covid-19 และสร้างความกังวลว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย หากประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการคว่ำบาตรรัสเซีย อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่

1) ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง – ไม่มาก

-การค้าระหว่างประเทศ: ไทย-รัสเซียมีสัดส่วนที่ไม่สูง ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ไทยส่งออกไปรัสเซียคิดเป็น 0.5% และนำเข้าคิดเป็นเพียง 0.4% ของมูลค่ารวม
-การท่องเที่ยว: แม้นักท่องเที่ยวรัสเซียที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยในปี 2564 สูงเป็นอันดับที่ 4 แต่คิดเป็นจำนวนไม่มากเพียง 3 หมื่นราย เนื่องจากผลกระทบ Covid-19

2) ผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทานและเงินเฟ้อ – ค่อนข้างรุนแรง

ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน คือการเร่งภาวะเฟ้อที่มาจากด้านต้นทุน (Cost Push Inflation) ให้รุนแรงขึ้น ทั้งจากราคาพลังงานโดยตรง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตหลักของโลก ส่งผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่ม TRANS PETRO Packaging CONMAT และ Manufacturing (ผลลบมากกว่าผลบวกจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวขึ้น)

-ผลกระทบด้านพลังงาน: หากเกิดกรณีชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย (สหรัฐฯส่งสัญญาณยังไม่ปิดโอกาส แต่ยุโรปไม่เห็นด้วย) ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่จะส่งผลให้ Supply ขาดแคลนอย่างเฉียบพลัน

-ผลกระทบต่อต้นทุนภาคอุตสาหกรรม: รัสเซียเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งแร่โลหะ (metals) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ประกอบด้วย Palladium ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ Platinum ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และ จิวเวอร์รี่ Nickel ใช้ผลิตแสตนเลส ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตอุปกรณ์ของใช้ในบ้าน (เช่น เครื่องครัว) อุตสาหกรรมการแพทย์ โครงสร้างพื้นฐาน และยานพาหนะ Copper ใช้ในการก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ และการขนส่ง

3) ความเสี่ยงจากกระแสเงินลงทุนต่างชาติ – ปานกลาง

กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วง ธ.ค. รวมทั้งสิ้นสูงถึงระดับ 8 หมื่นล้านบาท บนมุมมองเชิงบวกแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว การเริ่มเปิดประเทศ ระดับราคาอยู่ในจุดที่ดึงดูด และเป็นช่วงที่ตลาด DM: Developed Market อยู่ในจุดที่ Valuation ตึงตัว อย่างไรก็ตามวิกฤตที่เกิดขึ้นส่งผลให้ภาพดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไป ตลาดหุ้น DM (S&P500 Stoxx50) ปรับฐานแรงจนกลับไปสู่ระดับเทียบเคียงกับตอนที่เผชิญวิกฤต Covid-19 ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่กระแสเงินลงทุนอาจไหลออกจากตลาดหุ้นไทยที่ Outperform สู่ตลาด DM ที่มีส่วนลด

ราคาหุ้นตอบรับเชิงลบไปแล้วพอสมควร และลงมาถึงจุดที่น่าสนใจทยอยสะสม ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันตอบรับความเสี่ยงต่างๆไปแล้วพอสมควร และถึงจุดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่โดนผลกระทบจำกัด นำโดย Tourism COMM จาก

1) SET Index ล่าสุด (ปิดเช้าวันที่ 8 มี.ค.) ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดของปีประมาณ -5.5%
2) Earnings Yield Gap ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดของปี ที่ 3.76%
3) ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ P/E 17 เท่า (EPS 94.2) ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลัง 5 ปี