ต่างชาติวิ่งเข้าหุ้น ขายบอนด์ 1 หมื่นล. โลกผ่อนคลายชั่วคราว

HoonSmart.com>>หุ้นไทยทำเสียวหลุด 1,600  อานิสงส์ตลาดยุโรปตีกลับ ไล่ซื้อแบงก์กระชากดัชนีจากเหลวลึก46 จุด ขึ้นมาปิดลบแค่ 7 จุด ต่างชาติพลิกซื้อกว่า 2 พันล้านบาท ขายตราสารหนี้ 1 หมื่นล้านบาท “ภากร”มั่นใจหุ้นไทยแกร่ง ดึงดูดฟันด์โฟลว์ ปีนี้ยอดซื้อสุทธิกว่า 8 หมื่นล้านบาท  แจงวันที่หุ้นดิ่ง 45จุดมีฟอสเซลแค่ 8-9% ตลาดเผยมี 2 บจ.ลงทุนในรัสเซีย  1 บริษัทลงทุนในยูเครน คลังนัดธปท.-สภาพัฒน์ ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจ

วันที่ 8 มี.ค.2565 หุ้นไทยสวิงรุนแรงมากวันเดียวเคลื่อนไหวถึง 52.70 จุด ช่วงเช้าดัชนีบวกขึ้นไปสุงสุดที่ 1,633.50 จุด แต่ภาคบ่ายเจอแรงขายดิ่งลงแรงต่ำสุดแตะ 1,580.80 จุด แล้วเด้งกลับอย่างรวดเร็วและแรงมาก หนุนดัชนีฟื้นปิดที่ 1,619.10 จุด ลดลง -7.60 จุดหรือ -0.47% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 149,938.39 ล้านบาท

นักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับมาซื้อสุทธิ 2,847.61 ล้านบาท แต่กลับขายตราสารหนี้ไทยมากถึง 10,242 ล้านบาท กดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลงปิด 33.17 บาท ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่  8 มี.ค. ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 84,010.19 ล้านบาท

ส่วนสถาบันไทยที่ขายหุ้นหนักๆมาหลายวัน ชะลอลงเหลือเพียง 800.08 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายมากสุด 2,763.69 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยซื้อเล็กน้อย 716.17 ล้านบาท

มาร์เก็ตติ้งกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นยืนเหนือ 1,600 จุดได้อีกครั้ง หลังจากดิ่งจากเหวลึกเฉียด 46 จุดขึ้นมาปิดลดลงเพียง 7 จุด เนื่องจากได้รับผลทางจิตวิทยา ในช่วงเวลา ระมาณ 15.30 น. ตลาดหุ้นยุโรปบางแห่งติดลบน้อยลง บางแห่งกลับขึ้นมาเขียวได้ เช่นเดียวกับดาวโจนส์ล่วงหน้าเพิ่มขึ้น สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อหุ้น เน้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ นำโดยธนาคารกสิกรไทย (KBANK) วิ่งนำตลาด ส่วนกลุ่มเดินเรือ และโรงพยาบาล ได้รับความสนใจตลอดทั้งวัน  แต่ขายหุ้นพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์

สมาคมตราสารหนี้ไทยระบุว่า เงินต่างชาติไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปี ปิดที่ 1.4% เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน +0.06% โดยตราสารหนี้ระยะยาว อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 0.01-0.08% ในทิศทางเดียวกับ US- Treasury จากการคลายความกังวลต่อสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังจากรัสเซียแถลงเงื่อนไข 4 ข้อ หากยูเครนยอมรับเงื่อนไข รัสเซียจะยุติปฏิบัติการทางทหารต่อยูเครน ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีแนวโน้มจัดการประชุมอย่างเร็วที่สุด เพื่อลงมติคว่ำบาตรการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานและระงับความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัสเซีย

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้มีความผันผวนมาก โดยเฉพาะในช่วงบ่ายดัชนีฯร่วงไปกว่า 40 จุด ก่อนที่จะเด้งขึ้นมาได้บ้างแต่ก็ยังติดลบอยู่ คาดว่าจะเป็นแรงขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดได้ Outperform จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ขณะที่สถานการณ์ระหว่างรัสเซีย และยูเครน มีความยืดเยื้อ และไม่มีท่าทีที่จะบรรเทา ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะขายทำกำไรออกมาก่อน

นอกจากนี้ ตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้บวกได้ราว 1% ทำให้เป็นแรงหนุนจากดัชนีฯลดช่วงลบได้ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ และในวันพฤหัสนี้(10 มี.ค.) ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นเกือบ 8% พร้อมติดตามสถานการณ์ยูเครนอย่างใกล้ชิดต่อไป

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 9 มี.ค.2565 ตลาดคงจะนิ่ง ๆ โดยให้กรอบ 1,610-1,625 จุด

นาย ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในช่วงนี้ เกิดจากนักลงทุนต่างชาติปรับน้ำหนักการลงทุนทั่วโลก เนื่องจากมีความไม่แน่นอนต่างๆ มากขึ้น โดยในเดือนก.พ. เงินวิ่งเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ถ้านักลงทุนต่างชาติมองเป็นตลาดปลอดภัย เปรียบเสมือนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งไทยมีความมั่นคง มีความผันผวนน้อย ผลตอบแทนจากการลงทุนดี ตลาดมีสภาพคล่องสูง

ส่วนวันที่ 7 มี.ค.2565 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลงแรงถึง 45 จุด ยอมรับว่ามีการถูกบังคับขายหุ้น(ฟอสเซล) ประมาณ  8-9% สูงกว่าปกติอยู่ที่ 6% แต่ไม่น่ากังวล เพราะนักลงทุนต่างชาติขายไม่มาก และตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดหลายแห่ง

” ปกติหากตลาดขึ้นหรือลงแรงมาก ก็จะมีการรายงานให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ทราบ แต่เมื่อวานนี้ลงมามาก มองว่าเคลื่อนไหวตามต่างประเทศ ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย จึงยังไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม เราดูแลและเตรียมพร้อม”นายภากรกล่าว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศ และอย่าตื่นตระหนก แม้ว่าสถานการณ์ไม่สงบ จะส่งผลทางอ้อมต่อราคาน้ำมันและการเร่งตัวของเงินเฟ้อ อาจจะนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงและกว่าที่คาดการณ์ แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีจุดได้เปรียบเรื่องสภาพคล่องสูง  บริษัทจดทะเบียนมีงบดุลดีขึ้นในช่วง 9 เดือนปี2564 ระยะยาวจะต้องติดตามว่าจะบริหารต้นทุนอย่างไร การลงทุนช่วงนี้ และนักลงทุนจะต้องติดตามสถานการณ์การลงทุน เวลาประมาณ 15.00 น. ตลาดหุ้นยุโรปเปิดซื้อขายจะมีผลต่อการลงทุนของไทย

ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง  ตลาดการเงินโลกผันผวน โดยเห็นสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย  และพบว่ามีเงินลงทุนจำนวนมากเคลื่อนย้ายจากตลาดทุนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาท ได้แก่ ประเทศในทวีปยุโรปไปยังกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเช่นกลุ่มประเทศอาเซียน

ส่วนหุ้นไทยปรับลดลงตามภูมิภาค แต่น้อยกว่า ปัจจุบันมีเงินไหลเข้ามากถึง 7.2 หมื่นล้านบาท เดือน ก.พ.ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 61,336 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าซื้อสุทธิสูงสุดในรอบ 16 ปี เป็นการไหลเข้าติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม และเป็นเดือนแรกที่สัดส่วนซื้อขายมากกว่านักลงทุนไทย ทำให้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,685.18 จุด เพิ่มขึ้น 2.2% จากเดือนก่อนหน้า แต่หากเศรษฐกิจยุโรปได้รับผลกระทบมาก อาจส่งผลลบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวไทย

ด้านตลาดหลักทรัพย์รายงานว่า ปัจจุบันมีบจ.2 แห่งที่มีการลงทุนในรัสเซีย และมี 1 บจ.ที่ลงทุนในยูเครน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อประเมินผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครนที่มีต่อเศรษฐกิจไทย เบื้องต้นยอมรับว่าในระยะสั้นมีผลกับราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น  หากจบเร็ว จะกระทบในช่วงสั้นเท่านั้น แต่ได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่บ้าง รวมถึงภาคการท่องเที่ยว  และยังอาจมีผลกระทบกับการส่งออกและนำเข้า โดยในปี 2564 ไทยส่งออกไปรัสเซีย ประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท แม้จะไม่ถึง 1% ของมูลค่าการส่งออก แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและขายไฟฟ้าทั้งหมดให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เหลือ 0% มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 15 ก.ย.65 ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนทั่วประเทศ