บลจ.ยูโอบีเผยปี 64 AUM โตแตะ 2.43 แสนล. หุ้นปรับฐานแนะทยอยสะสม 5 กองทุน

HoonSmart.com>> “บลจ.ยูโอบี” เผยปี 64 มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้บริหารเติบโต 5% แตะ 2.43 แสนล้านบาท ตั้งเป้าปี 65 เติบโต 10% ตอกย้ำความเป็นผู้นำทั้งด้านพัฒนานวัตกรรมการลงทุนและบริการด้านดิจิตอล มองหุ้นยังน่าสนใจ แนะจังหวะตลาดปรับฐานทยอยสะสม 5 กองทุน “หุ้นจีน-ธีม ESG-หุ้นนวัตกรรม” ฟากหุ้นไทยมองกรอบ 1,580 -1,770 จุด ฟันด์โฟลว์ชะลอกังวลสงครามรัสเซีย-ยูเครน

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจปี 2564 มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของบริษัทอยู่ที่ 243,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% ซึ่งใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม จากปีก่อนหน้าบริษัทมี AUM อยู่ที่ 231,324 ล้านบาท โดยเติบโตทั้ง 3 ธุรกิจกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงและกองทุนส่วนบุคคล พร้อมตั้งเป้าปีนี้ AUM เติบโต 10%

“ชูธงออก Thematic ETF เพิ่ม 5-6 กองทุน

บลจ.ยูโอบี ยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนทางเลือกใหม่ๆ ให้กับนักลงทุน โดยต้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนากองทุน ETF รูปแบบใหม่สามารถลงทุนได้ทั้งผ่านตลาดหลักทรัพย์สำหรับนักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นและผ่านตัวแทนจำหน่ายกองทุนรวม โดยเปิดตัวกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฮีโร่ อีทีเอฟ (UHERO) เป็น Thematic ETF กองแรกในไทยที่ลงทุนธุรกิจเกมและอีสปอร์ต และได้ยื่นขอจัดตั้งกองทุน Thematic ETF อีก 5-6 กองทุน ได้แก่ ธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม, ธีมการเงินไร้ตัวกลางและธีมป้องกันภัย Cyber เพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนได้จัดพอร์ตการลงทุน

วนา พูลผล

นายวนา กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ที่ผ่านมายังคงฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐที่เศรษฐกิจเข้าสู่วัฏจักรระยะกลาง (Mid Cycle) แล้ว รวมถึงภาคการผลิตที่เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทานเกิดภาวะชะงักงัน (Supply Chain Disruption) จนทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นสูงขึ้นและกดดันให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

นอกจากนี้การแพร่ระบาดของ Omicron Variant ในช่วงปลายปีได้สร้างความกังวลและทำให้หลายประเทศจำเป็นต้องกลับไปใช้มาตรการที่เข้มงวดและปิดประเทศอีกครั้งทั้งนี้ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจ GDP ทั่วโลกในปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.9% ในขณะที่มีการปรับคาดการณ์ตัวเลขของปี 2565 ลดลงจาก 4.9% จากการประเมินในเดือนต.ค.ลงสู่ระดับ 4.4% (ที่มา : World Economic Outlook ณ ม.ค.2565)

ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะข้างหน้า ได้แก่ การเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อและอยู่ในระดับสูง (Cost-Push Inflation) จากแรงกดดันจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานเกิดสภาวะชะงักงัน (Supply Chain Disruption) ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องสอดคล้องการดำเนินนโยบายทางการคลัง เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจนอกจากนี้การแพร่ระบาดของ COVID-19 กลายพันธุ์อย่าง Omicron Variant รวมถึงในอนาคตที่อาจจะมีการกลายพันธุ์ใหม่ๆ จนเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล ยังคงต้องติดตามต่อเนื่อง

ในส่วนของปัจจัยด้านการเมืองต้องติดตาม ผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงการเลือกตั้ง Mid Term Election ของสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2565 ซึ่งมีความเสี่ยงที่พรรค Democrats จะเสียเสียงข้างมากในสภาให้กับพรรค Republicans ในการเลือกตั้ง อาจทำให้การผ่านร่างนโยบายที่สำคัญในอนาคตทำได้ยากขึ้นกว่าเดิม

“เรายังเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แม้ว่าทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ดีปัจจัยเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำมาก ความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้นเมื่อเทียบกับตราสารหนี้แล้วจึงมีมากกว่า รวมถึงการลงทุนในหุ้นยังสามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปในรูปแบบของราคาสินค้าหรือบริการที่สูงขึ้นได้บางส่วน ทำให้การลงทุนในหุ้นสามารถป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อได้ด้วยเช่นกัน (Inflation Hedged)”นายวนา กล่าว

พร้อมทั้งมองว่าปัจจุบันตลาดได้รับรู้ (Priced-In) ความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปมากกว่า 4-5 ครั้งแล้วสะท้อนว่าโอกาสการปรับตัวลงเริ่มน้อย แต่คงเหลือประเด็นสำคัญอย่างการทำ Quantitative Tightening อย่างการลด Balance Sheet ที่ยังขาดความชัดเจน ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดมีการปรับฐานได้อีกครั้งจนกว่าจะมีความชัดเจนขึ้นในการประชุม FOMC ในวันที่ 15-16 มี.ค.ที่จะถึงนี้

รัชดา ตั้งหะรัฐ

“ตลาดปรับฐานทยอยสะสม 5 กองทุน”

นางสาวรัชดา ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากภาพรวมดังกล่าวแนะนำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะที่มีการปรับฐานทยอยเข้าสะสมการลงทุนใน 5 กองทุน ดังนี้

1) การลงทุนในประเทศจีนที่ราคาหุ้นในปัจจุบันได้ซึบซับกับข่าวด้านลบในช่วงที่ผ่านมา และปัจจุบันเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายจากภาครัฐที่สนับสนุนตลาดมากขึ้นและคาดว่าตลาดจีนจะมีบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นในปี 2565 แนะนำลงทุนในกองทุนเปิด ยูไนเต็ด ออล ไชน่า อิควิตี้ ฟันด์ – หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UCHINA) และ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไชน่า เอ แชร์ อินโนเวชั่น ฟันด์ – หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UCI)

2) สำหรับนักลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนในระยะกลาง-ยาว แนะนำอาศัยจังหวะที่มีการปรับฐานแรงทยอยสะสมการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านกองทุนเปิด ยูไนเต็ด อิควิตี้ ซัสเทนเนเบิล โกลบอล ฟันด์ (UESG), กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซัสเทนเนเบิล อิควิตี้ โซลูชั่น ฟันด์ – หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ถือหน่วยลงทุนทั่วไป (USUS) ที่ลงทุนในธีมที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด ESG รวมถึง กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินโนเวชั่น ฟันด์ (UNI) ที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่เป็นนวัตกรรม

นายวนา กล่าวเพิ่มว่า การลงทุนในธุรกิจที่มีแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG เป็นกระแสที่บลจ.ยูโอบี เห็นว่าเริ่มมีนักลงทุนให้ความสนใจบนพื้นฐานความเชื่อว่า การสร้างสมดุลในการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการสร้างผลกำไรในระยะยาวได้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำของกลุ่มยูโอบีในภูมิภาค เพื่อปรับขั้นตอนการลงทุนให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ของธุรกิจ ESG ที่เป็นไปตามแนวทางของ PRI (Principles for Responsible Investment) เข้ามาประกอบการตัดสินใจในการบริหารกองทุน

ปัจจุบันบลจ.ยูโอบี มีการนำเสนอกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจ ESG ผ่านกองทุนรวมสำหรับลูกค้ารายย่อย กองทุนส่วนบุคคลสำหรับลูกค้าสถาบัน และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงกองทุนรวมที่มีอยู่แล้วและได้มีการปรับกระบวนการลงทุนตามแนวทาง ESG

อีกทั้งกลุ่มธุรกิจจัดการกองทุน ยูโอบี ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนเพื่อความยั่งยืนหลายแห่ง ในการใช้ประสบการณ์และกระบวนการลงทุนโดยคำนึงถึงปัจจัยและแนวทาง ESG อย่างเข้มงวด ผ่านกองทุนที่ได้นำเสนอให้กับนักลงทุนทั่วโลก

สำหรับบลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) ในฐานะบริษัทย่อยของกลุ่มธุรกิจจัดการกองทุนยูโอบี ที่ร่วมยึดมั่นตามวิสัยทัศน์อย่างแข็งแกร่ง และเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแรกๆ ในประเทศไทยที่ปฏิบัติตามแนวทางของ PRI เกี่ยวกับการบูรณาการปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมสังคมและธรรมาภิบาล (ESG) ในกระบวนการลงทุนนั้น


“หุ้นไทยปีนี้กรอบ 1,580 – 1,770 จุด”

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันธ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังคงมองเป้าหมายดัชนีสูงสุดที่ระดับ 1,770 จุด ส่วนกรอบล่างอยู่ที่ 1,580 จุด จากสงครามที่เกิดขึ้นจะทำให้รายได้บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดใน 1-2 ปี ผลจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงกลุ่มเกษตรและธุรกิจที่มีอนาคตอย่างกลุ่มการเงิน ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมองมีโอกาสในธุรกิจและสามารถลงทุนได้มาก หากหุ้นไทยปรับตัวลงไม่น่าหลุด 1,600 จุด ขณะเดียวกันแนะนำให้กระจายการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า

ในส่วนของฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย จากต้นปีคาดว่าจะไหลเข้ามาหลัก 1 แสนล้านบาทในครึ่งปีแรก รับแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นจากการเปิดเมือง โควิดคลี่คลาย ในช่วง 2-3 เดือนจึงเห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท และพอเกิดสงครามจึงส่งผลกระทบในระยะสั้น ทำให้นักลงทุนชะลอลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ ทำให้เป้าหมายที่คาดการณ์ไว้หายไป 20-30% แต่เชื่อว่าหลังสงครามจบเงินจะไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งไทยก็อยู่ในกลุ่ม ส่วนรัสเซียที่ถูก MSCI ถอดจากดัชนีก็จะทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นอัตโนมัติ

“สงครามรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้นยังมีความไม่แน่นอน นักลงทุนควรสำรวจพอร์ตการลงทุนของตัวเองเพื่อให้เหมาะสมกับอายุและเป้าหมายของตัวเอง โดยในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นควรลดการลงทุนในตราสารหนี้และเพิ่มการลงทุนทางเลือก อย่างกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก”ดร.จิติพล กล่าว

ส่งท้ายด้านการพัฒนาระบบซื้อขายกองทุนออนไลน์ ทางบลจ.ยูโอบี ได้ริเริ่มพัฒนา Mobile application “UOBAM INVEST” และบนเว็บไซต์ผ่านระบบ Premier online ในช่วงหลายปีที่ผ่าน และได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องกับการคิดค้นและพัฒนาบริการ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้นักลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการลงทุนมาทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์กันมากขึ้น มากไปกว่านั้น ตอกย้ำความสำเร็จความผู้นำด้านดิจิตอล บลจ.ยูโอบี ได้รับรางวัล Best Digital Wealth Management จาก Asia Asset Management ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 อีกด้วย