HoonSmart.com>>”ไออาร์พีซี” (IRPC)ตั้งงบลงทุนระยะ 5 ปี (ปี 65-69)กว่า 4.1 หมื่นล้านบาท ส่วนปีนี้วางงบลงทุนไว้ 2 หมื่นล้านบาท เน้นใช้โครงการ UCF เป็นหลัก พร้อมคาดผลงานไตรมาส 1/65 ออกมาดีหลังราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ทำให้มี Stock gain แต่ผลงานทั้งปี 65 คาดสูสีปี 64พร้อมวางแผนคืนหนี้ปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ปีนี้คาดว่ากำลังการกลั่นจะลดลงมาเหลือเฉลี่ย 1.80-1.85 แสนบาร์เรล/วัน จากปี 64 ที่มีกำลังการกลั่น 1.92 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากบริษัทฯจะมีการ Shut Down ปิดซ่อมบำรุงเครื่องในไตรมาส 4/65 ส่วนสถานการณ์ยูเครนไม่ได้มีผลกระทบต่อน้ำมันดิบของกลุ่มปตท. พร้อมรับกลุ่มปตท.กำลังศึกษาสินทรัพย์ดิจิตอล
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนระยะ 5 ปี (65-69) 41,350 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นใช้สำหรับการร่วมทุนและการเข้าซื้อกิจการ (M&A)ประมาณ 14,000 ล้านบาท และใช้โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project: UCF)ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น และสร้างความแข็งแกร่งในฐานธุรกิจปัจจุบัน โดยตั้งเป้าหมาย EBITDA 25,000 ล้านบาทในปี 2568 และ 35,000 ล้านบาทในปี 2573 มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนองค์กร สู่ความยั่งยืนในทุกมิติ สร้างคุณค่าร่วมต่อสังคม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมวางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ลง 20% ในปี 2573
นายชวลิต กล่าวต่อว่า ปี 2565 บริษัทฯวางงบลงทุนไว้ที่ 20,000 ล้านบาท จะใช้ UCF กว่า 6,000 ล้านบาท สำรองไว้ใช้ในโครงการอื่น 9,000 ล้านบาท และ CAPEX 4,000 ล้านบาท ที่เหลือก็ใช้อย่างอื่น ทั้งนี้ คาดว่าผลงานไตรมาส 1/65 จะออกมาดี หลังจากที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ทำให้คงจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน (Stock gain) แต่ผลงานทั้งปี 65 มีโอกาสที่จะสูสีกับปี 64 โดยในปี 65 วางแผนจะคืนหนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท และจะมีการออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์ ซึ่งขณะนี้ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ แต่จะมีการครอบคลุมถึงอัตราดอกเบี้ยที่อาจสูงขึ้นในอนาคตไว้แล้ว
“ปี 64 บริษัทฯสามารถทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากราคาน้ำมันดิบปิดที่ 78 เหรียญฯ/บาร์เรล ทำให้มี Stock gain แต่ในปี 65 ก็ไม่แน่ราคาน้ำมันดิบจะสูงตลอดปี เราต้องดูสเปรดส่วนใหญ่ เดินเครื่องไปได้ดี ซึ่งต้องปรับตัวให้เข้ากับระยะกลาง และยาว”
นอกจากนี้ ปีนี้คาดว่ากำลังการกลั่นจะลดลงมาเหลือเฉลี่ย 1.80-1.85 แสนบาร์เรล/วัน จากปี 64 ที่มีกำลังการกลั่น 1.92 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากบริษัทฯจะมีการ Shut Down ปิดซ่อมบำรุงเครื่องในไตรมาส 4/65 แต่บริษัทก็คาดว่าจะเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 2/65 กว่า 2 แสนบาร์เรล/วัน และไตรมาส 4/65 จะมีกำลังการกลั่นประมาณ 1.40 แสนบาร์เรล/วัน
สำหรับเรื่องสินทรัพย์ดิจิตอล ทาง IRPC ก็ได้มีการศึกษาร่วมกับทางกลุ่มปตท. ซึ่งเป็นการศึกษาร่วมกันทั้งกลุ่ม
นายชวลิต กล่าวว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน ที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อน้ำมันดิบของกลุ่มปตท. แต่ผลที่เกิดขึ้นคือราคาน้ำมันอยู่ในช่วงผันผวนทำให้จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นกระทบธุรกิจปิโตรฯ ทำให้ต้นทุนน้ำมันที่เกิน 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล กระทบแนฟทาทันที ซึ่งต้องดูสงครามจะขยายออกไปหรือไม่ ถ้าไม่ขยายออกไป การค้าก็ยังเป็นปกติ ตอนนี้ก็มองไม่เห็นทางว่ารัสเซียจะถอยยังไงให้สวยงาม ซึ่งไทยเป็นประเทศเล็ก ๆ ก็ต้องอยู่ให้เป็น
“ระยะสั้นผลิตภัณฑ์มีโอกาสสูงที่จะขึ้นราคา มองเศรษฐกิจมหภาค ผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดทำให้ภาคการผลิตสะดุดไปเยอะ อย่างคนงานไม่กลับมา แต่ละประเทศมีผลกระทบกันไป ทำให้การผลิตไม่กลับมาที่เดิม ทั้งที่ Demand เยอะ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ขึ้น เงินเฟ้อสูงมาก บวกกับราคาพลังงานแพงอีก ส่งผลกระทบไปทั่ว เศรษฐกิจจะปรับตัวมันเอง …คนก็ต้องหาแผนรองรับแต่แรงกดดันภาคพลังงานมีสูง”