“ประภาส” คาด 10 ปีจากนี้เศรษฐกิจโตเฉลี่ย 6% หลังรัฐลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน-นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทย 30 ล้านคน ชี้ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน เพราะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการเติบโตของจีดีพี 2 เท่า
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส ปาฐกถาในหัวข้อ “ชี้โอกาสการลงทุนในประเทศ” ว่า ในช่วง 43 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2518-2560 เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ย 5.46% โดยปี 2518 ถึงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เศรษฐกิจเติบโต 7.9% แต่หลังจากนั้น คือ ช่วงปี 2541-2560 เศรษฐกิจเติบโตเพียงครึ่งเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเกิดวิกฤต หรือเติบโตเพียง 4.03% แต่ผลตอบแทนในตลาดหุ้นในช่วงนั้นยังสูงถึง 8.76%
“หลังวิกฤตเศรษฐกิจถึงปี 2560 เศรษฐกิจไทยแกว่งตัวแรงมาก ขึ้นก็ขึ้นแรง ลงก็ลงแรง ลักษณะอย่างนี้ส่งผลต่อตลาดหุ้นพอสมควร และแม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงนี้จะเติบโตเฉลี่ย 4% แต่ผลตอบแทนในตลาดหุ้นยังสูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 2.17 เท่า นี่คือภาพที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆยังเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบากของตลาดหุ้นไทย ท่านอาจลงทุนหุ้นไทยน้อยหน่อย ลงทุนต่างประเทศมากหน่อย” นายประภาสกล่าว
นายประภาส ระบุว่า ในช่วง 10 ปีจากนี้ เศรษฐกิจไทยจะปรับตัวครั้งใหญ่ เนื่องจากจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นจำนวนมาก แต่คงไม่ได้เห็นเศรษฐกิจเติบโตไปแตะที่ 10% เหมือนในอดีตอีกแล้ว ซึ่งส่วนตัวคาดว่าในช่วง 12 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ 6% จากปัจจุบันที่เติบโต 4% โดยผลตอบแทนของตลาดหุ้นจะเติบโตในช่วง 10% บวกลบ เพราะปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีขนาด 125% ของจีดีพีประเทศแล้ว โอกาสที่จะทำกำไรสูงๆ 40-50% ต่อปีเช่นในอดีตคงเป็นไปได้น้อย
“ถ้าประเทศไทยมีการลงทุน เชื่อว่าเศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวได้ดีขึ้นๆ และทำให้ตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนที่ดี ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในปี 2551 และทั่วโลกมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะสังเกตได้ว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จากที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาหลายปี และปีนี้ก็เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย โดย 10 ปีจากนี้เศรษฐกิจจะขยายตัว 6% ผมว่าเป็นไปได้สูงมาก”นายประภาสกล่าว
นายประภาส ยังกล่าวว่า แม้ว่าในช่วงปี 2551-2560 ต่างชาติขายหุ้นไทยไปทั้งสิ้น 3 แสนล้านบาท แต่ดัชนีฯตลาดหุ้นไทยยังเพิ่มขึ้น 289% และตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ต่างชาติขายหุ้นไทยอีก 6 หมื่นล้านบาท แต่ตลาดหุ้นไทยยังบวกได้ 50 จุด หรือคิดเป็น 3% ซึ่งสะท้อนได้ว่าแม้ฝรั่งจะขายหุ้นไทยออกไป แต่ตลาดหุ้นยังขึ้นต่อได้ เพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มจาก 3 แสนล้านบาทเป็นเกือบ 1 ล้านล้านบาทในปี 2560 หรือเพิ่มขึ้น 200% ในช่วงเวลาเดียวกัน
นายประภาส ระบุว่า โอกาสของเศรษฐกิจไทยยังมีอีกมาก โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว โดยปีที่แล้วนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายเงินในประเทศไทย 1.8 ล้านล้านบาท ขณะที่นักท่องเที่ยวในประเทศมีการใช้จ่าย 9 แสนล้านบาท แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจท่องเที่ยวมีสัดส่วนคิดเป็น 18% ของจีดีพี และในอีก 12 ปีข้างหน้า ธุรกิจการท่องเที่ยวจะมีสัดส่วน 30-35% ของจีดีพี จากนักท่องเที่ยวจากจีนที่จะเพิ่มจาก 10 ล้านคนในปัจจุบันเป็น 30-40 ล้านคน
“อิมแพคของธุรกิจท่องเที่ยวจะผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมาก วันนี้เราเจอนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 10 ล้าน จากทั้งหมด 120 ล้านคน หรือคิดเป็น 8% ผมประเมินว่าใน 2029 นักท่องเที่ยวจีนน่าจะเพิ่มเป็น 250-300 ล้านคน และน่าจะมาเที่ยวประเทศไทย 15-20% หรือ 30-40 ล้านคนได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวจีน 50 ล้านคนไปเที่ยวฮ่องกง และ 10 ล้านคนไปเที่ยวมาเก๊า มากจนแทบจะเหยียบกันแล้ว เมื่อไปฮ่องกง ไปมาเก๊าไม่ได้ก็ต้องมาไทย”นายประภาสกล่าว
นายประภาส เชื่อว่า ปีนี้ด้วยแรงขับเคลื่อนของภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก และการลงทุนภาครัฐ จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 4% กลางหรือ 4% แก่ๆ ได้ แต่หากเศรษฐกิจยังเติบโตน้อยกว่านี้ เช่น เศรษฐกิจไตรมาสแรกหากเติบโตเพียง 4% ก็สะท้อนได้ว่า ภาคเศรษฐกิจอื่นๆและภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนคิดเป็น 80% ของจีดีพี เติบโตอย่างถดถอย เพราะลำพังการท่องเที่ยวที่เติบโต 15% ก็น่าจะทำให้จีดีพีขยายตัวได้ 2.5% แล้ว
“ถ้าภาคเศรษฐกิจอื่นๆที่ไม่ใช่การท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็น 80% ของจีดีพี เติบโตเพียง 1.5% แค่นั้นก็ทำให้คนรู้สึกได้แล้วว่า เศรษฐกิจไม่ดี เพราะ 80% ของเศรษฐกิจโตน้อยมาก และถ้ารู้สึกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นที่ได้กำไร 7.5-10% ต่อปี ยังไม่ค่อยน่าจูงใจ ถ้าจะลุกขึ้นมาทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกับคนจีน ผมเชื่อว่าตลาดมีมหาศาล”นายประภาสย้ำ