STARKลั่นกำไร-รายได้ปี65นิวไฮ ปิดเสี่ยง ลงทุนสายเคเบิ้ลใต้น้ำ

HoonSmart.com>>”สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น”ปักธงรายได้ปี 65 โตไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ทำนิวไฮต่อเนื่อง ตั้งงบลงทุน 800-1,000 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ลุยธุรกิจ EV- เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง เริ่มลงทุนผลิตสายเคเบิ้ลใต้น้ำแห่งแรกของประเทศไทย เปิดขายปี 66 เป้า EBITDAในปี 2030 ถึง  4 หมื่นล้านบาท “ประกรณ์ เมฆจำเริญ”  โชว์ผลงานปี 64 รายได้หลักแตะ 27,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.7% กำไรสุทธิ 2,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83%  

นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ( STARK) เปิดเผยว่า ในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนรวมประมาณ 800-1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนปกติ 350-500 ล้านบาทต่อปี และลงทุนผลิตสายเคเบิ้ลใต้น้ำอีก 500 ล้านบาท เพื่อเริ่มขายในปี 2566 ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยยังผลิตไม่ได้ ผู้เล่นน้อยราย และมาร์จิ้นสูง ความต้องการสูงมาก เช่นใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล

นอกจากนี้ บริษัทฯ วางแผนการผลิต และจำหน่ายสินค้าใหม่ในกลุ่มมาร์จิ้นสูง สายไฟ HVDC Cable หรือ ระบบสายส่งกระแสตรงแรงดันสูงใช้สำหรับในการส่งกำลังไฟฟ้าด้วยไฟฟ้ากระแสตรงทำให้สามารถเชื่อมระบบไฟฟ้ากระแสสลับต่างระบบที่มีความถี่ต่างกันได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องทำการซิงโครไนซ์ และ Transmission line หรือสายส่งหรือสายนำสัญญาณ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีสินค้าชนิดอื่นที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาสินค้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจำหน่ายต่อไป เช่น เทปพันสายไฟสำหรับ สายไฟ High Voltage และ PD Conduit อีกด้วย

ส่วนเป้าหมายการเติบโตในปี 2565 คาดรายได้ไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนการขยายฐานรายได้เข้าสู่ธุรกิจยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตทั่วโลก ประกอบกับมีสายไฟเป็นปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงชุดสายไฟตามเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน

ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 12,000-13,000 ล้านบาท  เป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง และเป็นการรองรับการเติบโตในอนาคต ขณะเดียวกันบริษัทมีการบริหารความเสี่ยง ทั้งเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนวัตถุดิบ ส่วนสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนมีผลต่อบริษัทน้อยเพราะไม่มีการส่งออก อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นลวดทอง และการเดินทางไปปกติ บริษัทจำเป็นต้องซื้อล่วงหน้าเก็บไว้ในคลังสินค้า เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการผลิตและส่งมอบให้กับลูกค้า

ส่วนแผนระยะยาว  บริษัทตั้งเป้า EBITDAในปี 2030  ประมาณ  4 หมื่นล้านบาท แนวโน้มกำไรยังคงเติบโตดี มาร์จิ้นดีขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มีการใช้พลังงานโซลาร์ และบริหารส่วนสูญเสีย เช่นทองแดง มีการรีไซเคิล

ด้านผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้หลัก 27,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,235 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 60.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 16,858 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,783 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,263 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 83.0% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,520 ล้านบาท และมีอัตรากำไร สุทธิเท่ากับ 10.3%

“ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมีการรับรู้ยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นจากงานในโครงการภาครัฐและเอกชนที่ก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน สอดคล้องกับกลยุทธ์การมุ่งเน้นกลุ่มสินค้ามาร์จิ้นสูง โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษ ที่มีการเติบโตสูงเพื่อรองรับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชน ประกอบกับธุรกิจที่ประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตที่ดีทั้งรายได้และกำไร ” นายประกรณ์ กล่าวในที่สุด