HoonSmart.com>> “โอสถสภา” เปิดงบปี 64 กำไร 3,255 ล้านบาท ลดลง 7.1% เหตค่าใช้จ่าย ตุ้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขาดทุนค่าเงิน 157 ล้านบาท ด้านยอดขายเติบโตสวนกระแสแตะ 6,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% ตลาดต่างประเทศยังขยายตัวได้ดี งวดไตรมาส 4 กำไรฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนถึง 47% บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังอีก 0.65 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD 5 พ.ค.นี้ กางแผนปี 65 พร้อมนำเทคโนโลยีเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ พัฒนาสินค้าตอบโจทย์นิวนอมอลไลฟ์สไตล์ จับมือพันธมิตรใหม่ๆ ต่อยอดธุรกิจ
บริษัท โอสถสภา (OSP) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 3,254.92 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.08 บาท ลดลง 7.1% จากงวดปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,504.31 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.17 บาท
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา (OSP) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในปี 2564 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายในเชิงบริหารจัดการท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถผลักดันผลการดำเนินงานปี 2564 ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ มียอดขายรวม 26,762 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.6% สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจและการปรับตัวให้เข้ากับภาวะตลาดโดยใช้ข้อได้เปรียบจากการมีพอร์ตโฟลิโอสินค้าที่แข็งแกร่ง และเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคเชื่อถือ
นอกจากนี้ยังคงความเป็นผู้นำและมีส่วนแบ่งตลาดเติบโตสวนกระแสตลาด มีส่วนแบ่งในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 54.6% จากแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 รวมถึง ลิโพ และโสมอินซัม เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์ ที่ประสบความสำเร็จสามารถผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลัก และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 37.3%
ขณะเดียวกัยังคงรักษาสถานะการเงินและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง มีสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ต่ำ และด้วยศักยภาพในการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าต้องเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย อาทิ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น การล็อคดาวน์ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมีผลขาดทุนค่าเงิน 157 ล้านบาท บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งปีที่ 3,255 ล้านบาท โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากการปลดล็อคดาวน์แล้วนั้น มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 47% จากไตรมาสก่อน
ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2565 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลการดำเนินงานในปี 2564 ในอัตรา 1.1 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 3,304 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลครึ่งปีแรกในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่ต้องจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังและกำไรสะสมอีก 0.65 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 6 พ.ค.2565 และจะจ่ายเงินปันผลใในวันที่ 26 พ.ค.2565 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นต่อไป
นอกจากนี้ โอสถสภายังตอกย้ำความเป็นเลิศในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการบริหารงานภายใต้ ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน จากการได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในดัชนีหลักทรัพย์ด้านความยั่งยืน และคว้ารางวัลในหลากหลายด้าน ทั้งการดำเนินธุรกิจ การตลาด การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OSP กล่าวว่า ปี 2565 เป็นปีที่หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย และสภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัว กลับมาสู่สถานการณ์ปกติอีกครั้ง จึงต้องเตรียมแผนการไว้ให้พร้อม เพราะเมื่อสถานการณ์โควิด-19 เริ่มดีขึ้น บรรยากาศการบริโภคจะเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว หากใครเตรียมพร้อม เตรียมการณ์มาดี ก็จะได้เปรียบ สำหรับโอสถสภานั้น ได้มีการวางกลยุทธ์สร้างการเติบโตไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้มีความพร้อมและสามารถตอบรับสภาวะการฟื้นตัวของตลาดได้อย่างทันที
สำหรับแผนงานปี 2565 โอสถสภามุ่งเน้นบริหารด้านต้นทุนผ่านโครงการ Fast Forward 10X เพิ่มศักยภาพเพื่อการเติบโต ครอบคลุมทุกมิติ
1) การบริหารจัดการด้านต้นทุน 2) การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ 3) จัดการด้านกระบวนการทำงานที่รวดเร็ว คล่องตัว 4) พัฒนาการบริหารบุคลากร ให้มีทักษะความรู้หลากหลาย มีความยืดหยุ่น ไม่หยุดเรียนรู้ และ 5) บริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมุ่งปรับ Ecosystem ขององค์กรให้พร้อมรับมือกับโอกาสและความท้าทายในอนาคต ได้แก่ สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ (Health & Wellbeing) ประชากรสูงอายุ พฤติกรรมใหม่ๆ ของผู้บริโภค เช่น พฤติกรรมของเจเนอเรชั่นใหม่ๆ (เจนเอ็กซ์ เจนวาย เจนซี เจนอัลฟา) และการใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาต่อยอดการขายให้แข็งแรงมากขึ้น เน้นการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เอา Data มาช่วยในการตัดสินใจ ปรับการทำงานให้มี Efficiency มากขึ้น เร็วขึ้น ต้นทุนลดลง มองหา Inorganic Growth เพื่อต่อยอดธุรกิจ เพิ่มศักยภาพ ลดต้นทุน
ล่าสุด บริษัทฯ สร้างโอกาสทางธุรกิจ ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างกลุ่มยันฮี บุกตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชงกัญชา รวมถึงใช้เครือข่ายกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง ดูแลการจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวแบรนด์คารามูโจ้ และ สคอร์น ผ่านเครือข่ายร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) และแม็คโคร รวมกว่า 400,000 แห่งทั่วประเทศ