HoonSmart.com>>หุ้น “ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์” (L&E) ปิดเช้าราคาพุ่ง 11.76% บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้โต 20% ปัจจุบันบริษัทฯ ตุนงานในมือราว 1,300 ล้านบาท ชูจุดแข็ง “Total Lighting Solution Provider” การทำธุรกิจแสงสว่างแบบครบวงจร ควบคู่ Innovation ตอบรับเทรนด์ธุรกิจสินค้าที่เชื่อมต่อถึงกันได้หรือ IoT ในยุคเทคโนโลยี 5G ล่าสุดงบปี 64 มีกำไรสุทธิ 43.8 ล้านบาท โต 18% จากปีก่อน พร้อมจ่ายปันผล 0.085 บาทต่อหุ้น
หุ้น L&E ปิดเทรดเช้าราคาพุ่ง 11.76% มาอยู่ที่ 2.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.24 บาท มูลค่าซื้อขาย 9.48 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.12 บาท ขึ้นสูงสุด 2.60 บาท และต่ำสุด 2.12 บาท
นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) เปิดเผยว่า ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2565 คาดการณ์เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา จากงานในมือ (backlog) ที่เพิ่มขึ้น และงานที่เลื่อนมาจากปี 2564 และงานที่ผลิตเป็นจำนวนมากที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 20 – 25% (คิดเป็นสัดส่วนการส่งออก 20% ของรายได้ทั้งหมด)
แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงโมเดลธุรกิจ “Total Lighting Solution Provider” การทำธุรกิจแสงสว่างแบบครบวงจร ควบคู่ innovation สร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่ดีที่สุดและสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพื่อตอบรับเทรนด์ธุรกิจสินค้าที่เชื่อมต่อถึงกันได้หรือ IoT ในยุคเทคโนโลยี 5G
ปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) ที่ประมาณ 1,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงานใหญ่ เช่น Lotus โครงการประหยัดพลังงานระบบแสงสว่างประจำปี 2565 ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า และอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่เริ่มทยอยกลับมาดำเนินการปรับปรุงก่อสร้างอีกครั้งหลังจากหยุดไประยะหนึ่งจากผลของโควิด นอกจากนี้ยังมีงานภาครัฐ เช่น อาคาร ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาโซน C แจ้งวัฒนะ ไฟส่องอาคารสถานีรถไฟฟ้าสีชมพู และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นต้น
“มองว่าปี 2565 ความต้องการสินค้า IoT SMART POLES , Horticulture Lighting และ L&E virtual studio ที่ตอบโจทย์ยุค metaverse คาดการณ์จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ โดยบริษัทฯ ได้ปรับปรุงโชว์รูมรัชดาโฉมใหม่เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมีความทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองลูกค้าที่จะมาเลือกชมสินค้าจากหน้าร้าน พร้อมเปิด Virtual โชว์รูมเสมือนจริงเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุค 5G ที่สามารถชมโชว์รูมผ่านออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน” นายอนันต์ กล่าว
ขณะที่การใช้กำลังการผลิตของบริษัทลูก ทั้ง LEM & LES ปัจจุบันอยู่ที่ 75% เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จากออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น และจุดแข็ง ประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาพร้อมพัฒนาระบบรวมทั้งเครื่องจักร โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนในสายการผลิต เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเปิดโอกาสในการหาลูกค้ารายใหม่ ดังนั้น อานิสงส์จากความร่วมมือส่งผลให้ LEM และ LES สามารถส่งออกสินค้าสู่ตลาดใหม่ๆ ทั่วโลก
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 2,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 266 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% เนื่องจากรายได้จากงานขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 460 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 357% สาเหตุใหญ่มาจากรายได้จากการขายสินค้าไปให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศอเมริกาเพิ่มขึ้น 440 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 524% แม้รายได้จากงานขายงานโครงการลดลง 9% สาเหตุใหญ่มาจากการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถส่งสินค้าให้ลูกค้างานโครงการได้ตามปกติเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน ส่วนงานขายส่ง/ขายปลีกลดลง 8% เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่นกัน
บริษัทมีกำไรสำหรับงวด 43.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 6.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18% เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นลดลง 26.5 ล้านบาท หรือลดลง 3% เป็นผลจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น 11% แต่อัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวลดลงจาก 32.2% ในปี 2563 เป็น 27.0% ในปี 2564 และเป็นผลจากสินค้าที่ส่งไปขายให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศอเมริกาจำนวน 440 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่ารายการสินค้าขายปกติเพราะเป็นการขายสินค้าครั้งละจำนวนมาก โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายลดลง 30.2 ล้านบาท หรือลดลง 4% สาเหตุใหญ่เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานได้ปรับตัวลดลง และดอกเบี้ยจ่ายลดลงเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง มีภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 3.0 ล้านบาท
“ปี 2564 ที่ผ่านมาเป็นปีที่มีความท้าท้ายอย่างยิ่ง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การลงทุนหรือโครงการต่างๆ ชะลอตัว ประกอบกับราคาสินค้ามีการแข่งขันรุนแรง มีผลต่อยอดขาย ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความสําคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วน D/E ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป” นายอนันต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงคำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นหลัก แม้ภายใต้วิกฤติโควิด แต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นสมควรนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 พิจารณาจ่ายเงินปันผลประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.085 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 3 พฤษภาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 โดยบริษัทฯ จะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 20 เมษายน 2565