HoonSmart.com>> บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นไทย “SCBSE-SCBENERGY-SCBBANKING” พร้อมกองทุนหุ้นยุโรป (SCBEUEQ) และหุ้นทั่วโลก (SCBGEQ) รวมมูลค่ากว่า 480 ล้านบาท ดีเดย์ 17 และ 22 ก.พ.นี้ พร้อมมองตลาดหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทย ยังต้องจับตาโควิด เงินเฟ้อ การเจรจาการค้าสหรัฐฯและจีน
นายอาชวิณ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศรวม 5 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 480 ล้านบาท ประกอบด้วย กองทุนหุ้นไทย 3 กองทุน สำหรับงวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ส.ค. 2564 – 31 ม.ค. 2565 โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 17 ก.พ. 2565 นี้ ได้แก่ 1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ – SCBSE กำหนดจ่าย 0.40 บาทต่อหน่วย จ่ายระหว่างกาลแล้วเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2564 จำนวน 0.15 บาทต่อหน่วย คงเหลือจ่ายงวดนี้ 0.25 บาทต่อหน่วย (ครั้งที่ 22) รวมจ่ายปันผลแล้ว 8.61 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย. 2554)
กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active Approach ด้วยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจมากที่สุด และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น ซึ่งจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้นๆ โดยลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว นอกจากนี้ กองทุนนี้จัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ม.ค. 2565)
2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET ENERGY SECTOR INDEX – SCBENERGY กำหนดจ่าย 1.00 บาทต่อหน่วย (ครั้งที่ 11) รวมจ่ายปันผลแล้ว 4.57 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย. 2554) กองทุนมีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด 3) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX – SCBBANKING กำหนดจ่าย 2.00 บาทต่อหน่วย (ครั้งที่ 9) รวมจ่ายปันผลแล้ว 5.95 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย.2554) กองทุนมีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด
“ในปี 2565 นี้ ตลาดหุ้นไทยมีทิศทางไปในเชิงบวกโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอาจจะเผชิญแรงขายจากความกังวลเรื่องการชะลอ QE Tapering และการขึ้นดอกเบี้ยของ FED แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นไทยแล้วเป็นจำนวน 3.1 แสนล้านบาท จึงทำให้ผลกระทบจากเรื่อง QE Tapering อยู่ในระดับที่ต่ำมาก นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงมีโอกาสฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะมีอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2565 ซึ่งจะผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มขนส่ง กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ ก็จะเป็นหุ้นกลุ่มที่สามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเพิ่มเติมได้” นายอาชวิณ กล่าว
กองทุนหุ้นต่างประเทศ 2 กองทุน สำหรับงวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ก.พ. 2564 – 31 ม.ค. 2565 โดยกำหนดจ่ายในวันที่ 22 ก.พ. 2565 นี้ ได้แก่ 1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยุโรป – SCBEUEQ กำหนดจ่าย 0.8301 บาทต่อหน่วย จ่ายระหว่างกาลแล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2564 จำนวน 0.2122 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.6179 บาทต่อหน่วย (ครั้งที่ 12) รวมจ่ายปันผลแล้ว 2.6196 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 26 ก.พ. 2557) กองทุนมีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ iShares STOXX Europe 600 (DE) โดยลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี STOXX Europe 600 เพื่อให้ผลการดำเนินงานของกองทุนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี STOXX Europe 600
2) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อิควิตี้ – SCBGEQ กำหนดจ่าย 0.7023 บาทต่อหน่วย จ่ายระหว่างกาลแล้วเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2564 จำนวน 0.3573 บาทต่อหน่วย เหลือจ่ายงวดนี้ 0.3450 บาทต่อหน่วย (ครั้งที่ 15) รวมจ่ายปันผลแล้ว 3.7068 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 14 ก.พ. 2556) กองทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ได้แก่ กองทุน Veritas Global Focus (กองทุนหลัก) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก
นายอาชวิณ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพการลงทุนต่อตลาดหุ้นทั่วโลกว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2022 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 4.9% และใน 3 ปีข้างหน้าอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 3.97% ต่อปี โดยปัจจัยหลักที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวต่อเนื่อง ยังคงมาจากความคืบหน้าของการฉีดวัคซีน รวมถึงขนาดและระยะเวลาของมาตรการภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการทยอยกลับมาเปิดประเทศ
อย่างไรก็ตาม ทั้งตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทย ยังคงมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาในระยะข้างหน้า ได้แก่ การแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธ์ใหม่, อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องที่ส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากกว่าที่คาด, กฎหมายการแข่งขันทางการค้า (Antitrust laws) และการเจรจาทางการค้าในสหรัฐฯ – จีน