HoonSmart.com>>บริษัทในครอบครัวปตท. 6 บริษัท ไม่รวม PTT ประกาศปี 2564 มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 129,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาท หรือ 336.63% เทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 29,709.71 ล้านบาท เกือบทุกบริษัทมีกำไรเติบโตขึ้นมาก ยกเว้น GPSC ที่ลดลง 2.52% เหลือกำไรสุทธิ 7,318.58 ล้านบาท เพราะไม่ได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปี แต่กลับแบกต้นทุนพลังงานสูงขึ้น
กำไรที่ดีขึ้นของกลุ่มปตท. สามารถให้เงินปันผลที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน เฉพาะงวดครึ่งหลังของปี 2564 มี 3 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 3% นำโดย TOP แจก 2 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 3.79% ขึ้น XD วันที่ 3 มี.ค. 2565 , IRPC จ่ายหุ้นละ 0.14 บาท เท่ากับ 3.52% ขึ้น XD วันที่ 22 ก.พ.2556 และ PTTGC จ่าย 1.75 บาทเท่ากับ 3.10% ขึ้น XD วันที่ 28 ก.พ.2565 ทั้งนี้ ผลตอบแทนเปรียบเทียบกับราคาปิด ณ วันที่ 15 ก.พ.2565
บริษัท PTTGC โชว์กำไรโตก้าวกระโดดมากที่สุดถึง 22,435% เป็น 44,982.39 ล้านบาท จากปี 2563 มีกำไรสุทธิเพียง 199.61 ล้านบาท แต่กลับไม่ประทับใจนักวิเคราะห์และนักลงทุน โดยบล.ไทยพาณิชย์วิเคราะห์ว่าไตรมาสที่ 4/2564 มีกำไรสุทธิ 3,248 ล้านบาท ลดลง 49.3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 53.6%เทียบไตรมาสที่ 3/2564 ถือว่าต่ำกว่าตลาดคาด -38.6% ที่ 5,286 ล้านบาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คงประมาณการกำไรสุทธิ 2.9 หมื่นล้านบาทในปี2565 ลดลง 35% จากฐานสูงในปีที่ผ่านมา เพราะมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น GPSC จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท และกำไรสต็อกน้ำมัน 6,000 ล้านบาท หากนับเฉพาะกำไรปกติจะลดลง 11%
” ระยะสั้นหุ้น PTTGC อาจมีเงินปันผล 3% เศษช่วย แต่มองว่าหุ้นโรงกลั่นอย่าง TOP หรือปิโตรเคมีอย่าง IVL น่าสนใจเข้าลงทุนมากกว่า เพราะแนวโน้มค่าการกลั่นและปิโตรเคมีสาย Polyester จะเด่นกว่าโอเลฟินส์ รวมทั้งไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่ คงราคาเหมาะสม 65 บาท แนะนำเทรดดิ้ง”บล.หยวนต้าระบุ
บล.บัวหลวงคงประมาณการกำไรปีนี้ที่ 27,696 ล้านบาท ลดลง 16% สำหรับ PTTGC
ด้านบริษัทไทยออยล์ (TOP) ประกาศกำไรสุทธิ 12,578 ล้านบาท พลิกจากปี2563 ที่มีผลขาดทุน 3,301ล้านบาท หรือเติบโต 480.99% เนื่องจากโรงกลั่นมี EBITDA และผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่นที่สูงขึ้น และการรับรู้กำไรจากสต๊อกน้ำมันเทียบกับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในปี 2563 เฉพาะไตรมาสที่ 4 ก็มี EBITDA ที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงินและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิส่งผลให้มีกำไรสุทธิเทียบกับผลขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 3
บริษัทไทยออยล์มีแผนการลงทุนโครงการในอนาคต ตั้งแต่ปี 2564-2567 บริษัทตั้งงบประมาณรวมทั้งสิ้น 3,431 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 1,902 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทฯ โดยผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ประมาณ 1,183 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สำหรับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) โชว์กำไรสุทธิ 11,474.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.5%จากปี 2563 มาจากรายได้ขาย และ EBITDA เพิ่มขึ้น 82,995 ล้านบาท (+19.4%) และ 2,716 ล้านบาท (+15.4%) ตามลำดับ
ส่วนไตรมาสที่ 4/2564 มีกำไรสุทธิ 2,354 ล้านบาท ลดลง 19.5% จากไตรมาส 4/2563 ที่มีกำไรสุทธิ 2,923 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 24.4% จากไตรมาสที่ 3/2564 ที่มีกำไรสุทธิ 1,892 ล้านบาท โดยมีรายได้ขายและบริการ จำนวน 157,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้น 35.1% เทียบไตรมาสที่ 3/2564 เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ในต่างประเทศ
ภาพรวมในปี 2564 กลุ่มธุรกิจน้ำมัน( Mobility) ดีขึ้นจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันจะปรับลดลง 5.1% ส่วนกลุ่มธุรกิจ นอน ออยล์( Lifestyle) ลดลงเล็กน้อย โดยปี 2564 มีร้าน Cafe Amazon เพิ่มขึ้น 318 แห่งเป็น 3,628 แห่ง ปริมาณขายจำนวน 298 ล้านแก้ว เติบโต 8.8% เทียบกับปี2563 จำนวน 274 ล้านแก้ว
OR มีแผนการลงทุน 5 ปี (ปี 2565 –2569) จำนวน 93,462 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2565 จำนวน 26,949 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนกลุ่มน้ำมันจำนวน 9,002 ล้านบาท เพื่อรักษาสถานะความเป็นผู้นำในประเทศไทยในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน และขยายการลงทุนแบบผสมผสาน (Energy Solution Ecosystem) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นสู่การใช้พลังงานสะอาดรักษาสถานะความเป็นผู้นำในตลาดร้านกาแฟ