MFC : US consumer prices rise at fastest rate since 1982

Highlighted Funds

MGF : ลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นประเภทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ อีกทั้งยังทนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นได้ดี

M-EDGE : โอกาสลงทุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และเติบโตอย่างยั่งยืน คัดเลือกลงทุนหุ้นคุณภาพดี สามารถสร้างมูลค่าได้เหนือกว่าดัชนีหุ้นโลก อีกทั้ง กองทุนกระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่มี business cycle ต่างกัน และหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง

M-BT : กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่นที่คัดสรรหุ้นไทยที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มากด้วยประสบการณ์และมีกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่ยืดหยุ่นตามสภาวะตลาด ที่มีความผันผวน

MEURO : หลังประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ตลาดหุ้นยุโรปดัชนี STOXX600 ได้ถูกปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯดัชนี S&P500 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังมีมูลค่าที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดย Relative Forward P/E ของดัชนี STOXX600 และดัชนี S&P500 ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -2S.D.

Investment Strategy

สหรัฐฯ รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ในเดือน ม.ค. เพิ่มขึ้น 7.5% YoY เร่งตัวขึ้นจาก 7.0% YoY ในเดือนก่อน และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 7.3% YoY นำโดยราคาพลังงาน รถยนต์มือสอง เฟอร์นิเจอร์ ที่อยู่อาศัย และราคาอาหาร (ภาพที่ 1) ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาที่บริเวณ 2.00% ทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2562

นอกจากนี้การคาดการณ์ของตลาดจาก CME FedWatch Tool ยังบ่งชี้ความน่าจะเป็นที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมรอบเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 57.9% (ภาพที่ 2) และมองว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้สูงถึง 1.75-2.00% ในปีนี้

ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของนาย James Bullard ประธานเฟด สาขา St. Louis ที่มองว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 1.00% ภายในเดือน มิ.ย. ในกรณีที่สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อยังไม่คลี่คลาย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ภาพของการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนระหว่างหมวดอุตสาหกรรม (Sector Rotation) ผลักดันหุ้นกลุ่ม Value ให้มีผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นกลุ่ม Growth ต่อไปอีกในระยะข้างหน้า

เรามองว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารจะได้รับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น และคาดว่ารายได้จะฟื้นตัวจาก Net interest margin (NIM) ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารยุโรปที่มี Valuation ค่อนข้างถูกมี P/BV Ratio 0.75 เท่า เมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ที่มี P/BV Ratio 1.45 เท่า


นอกจากนี้ หุ้นไทยคาดว่าได้ประโยชน์จากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และหุ้นประเภท Value ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทย โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 มีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนเงิน 58,030.63 ล้านบาท (ภาพที่ 3) สอดคล้องกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าจากจุดสูงสุดเมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2564 ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯมาอยู่ที่บริเวณ 32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนนี้