ดาวโจนส์ปิดร่วง 503 จุด วิตกรัสเซียบุกยูเครน

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วง ดาวโจนส์ทรุดต่อ 503 จุด นักลงทุนวิตกความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ตึงเครียดมากขึ้น ดันราคาน้ำมันพุ่งกว่า 3% ราคา WTI กลับมายืนเหนือ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ปิดที่ 34,738.06 จุด ลดลง 503.53 จุด หรือ 1.43% ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ตึงเครียดมากขึ้น และส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น นักลงทุนจึงหากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออก ดัชนี S&P 500

ปิดที่ 4,418.64 จุด ลดลง 85.44 จุด, -1.90%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,791.15 จุด ลดลง 394.49 จุด, -2.78%

ตลอดทั้งวันหุ้นค่อนข้างจะทรงตัว แต่หลังจากที่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับยูเครนเข้ามาในช่วงบ่าย นักลงทุนจึงเทขายหุ้นและหันไปซื้อพันธบัตร
นอกจากนี้ความกังวลที่ว่ากองทัพรัสเซียจะโจมตียูเครนยังมีผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น

ในช่วงบ่าย 2 ชั่วโมงก่อนตลาดปิด ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ นายเจค ซัลลิแวน กล่าวในการบรรยายสรุปที่ทำเนียบขาวว่า มีสัญญานว่า รัสเซียประชิดชายแดนยูเครนมากขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่จะบุกยูเครนได้ในเร็วๆนี้

สหรัฐฯและสหราอาณาจักรได้ขอให้ประชาชนของตัวเองออกจายูเครนให้เร็วที่สุด

ความเห็นของนายซัลลิแวนทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดและราคาพันธบัตรและราคาน้ำมันอ่อนตัวจากจุดสูงสุด

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 3.22 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 93.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 3.03 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 94.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นโดยหุ้นไดมอนด์แบค เอ็นเน็อร์จี้เพิ่มขึ้น 4% หุ้นเดวอนเอ็นเน็อร์จี้เพิ่มขึ้น 3.6% หุ้นเอ็กซอนโมบิลเพิ่มขึ้น 2.5% หุ้นโคโนฟิลิปสเพิ่มขึ้น 2.3%

หุ้นผู้ผลิตอาวุธปรับตัวขึ้นโดยหุ้น Northrop Grumman เพิ่มขึ้น 4.5% หุ้นLockheed Martin เพิ่มขึ้น 2.8%
หุ้นกลุ่มเดินทางลดลง โดยหุ้นอเมริกันแอร์ไลน์ลดลง 6%

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลงจากข่าวยูเครนมาที่ 1.92%

นักวิเคราะห์จาก UBS กล่าวว่า ข่าวยูเครนมีผลต่อการเทขายน้อย แต่สาเหตุจริงมาจากการที่ธนาคารกลาง(เฟด) ดูเหมือนว่าจะไม่มีแผน

ในสัปดาห์นี้ตลาดพันธบัตรผันผวนหลังจากเงินเฟ้อสูงเกินคาด และทำให้นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ให้ความเห็นว่าเฟดอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 1% ภายในเดือนกรกฎาคม

อย่างไรก็ตามประธานเฟดสาขาแอตแลนตา สาขาริชมอนด์ และสาขาซานฟรานซิสโก ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นบีซีว่า ไม่คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมีนาคมนั้นเหมาะสม โดยปกติแล้วฟเดมักจขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25%

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการรายงานผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ลดลงสู่ระดับ 61.7 ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2011 จาก 67.2 ในเดือนมกราคม

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลง 2.2% หลังข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือนมกราคมสูงเกินคาด และจากการให้ความเห็นเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเชิงรุกของประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)บางราย

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ให้ความเห็นว่าเฟดอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 1% ภายในเดือนกรกฎาคม
การรายงานผลการดำเนินงานยังมีผลต่อหุ้นรายตัว โดยหุ้นTate & Lyle ผู้ผลิตส่วนผสมอาหารในอังกฤษเพิ่มขึ้น 9.5% จากผลการดำเนินงานดีกว่าคาด
ในอังกฤษเศรษฐกิจปี 2021 ขยายตัว 7.5% ฟื้นตัวจากที่ติดลบ 9.4% ในปี 2020

ในเยอรมนีเงินเฟ้อเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 4.9% จากระยะเดียวกันของปีก่อน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 469.57 จุด ลดลง 2.78 จุด, -0.59%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,661.02 จุด ลดลง 11.38 จุด, -0.15%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,011.60 จุด ลดลง 89.95 จุด, -1.27%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,425.12 จุด ลดลง 65.32 จุด, -0.42%