CIVIL ชู 4 ปัจจัยบวกหนุนกำไรยาว บล.บัวหลวงชี้เป้าใหม่ 7.70 บาท

HoonSmart.com>>บล.บัวหลวงนำเสนอ“ซีวิลเอนจีเนียริง ” Super growth stock  คาดกำไรหลักโตเฉลี่ย 34% ใน 5 ปีข้างหน้า โมเดลธุรกิจรับงานโครงการใหญ่-เล็ก มีโรงงานวัสดุเอง รักษาอัตรากำไรขั้นต้นสองหลักสบาย กอดงานในมือ 16,000 ล้านบาทสิ้นปี 64  ศักยภาพรับงานปีละ 5,000 ล้านบาท หนุนรายได้ 5,000-6,000 ล้านบาท อีกอย่างน้อย 2-3 ปี คมนาคมมีงานระบบในช่วง 1-5 ปี สูงถึง 9 แสนล้านบาท  BTS-GULF เข้ามาลงทุน IPO เพิ่มโอกาสรับงานใหญ่   

บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง (CIVIL) รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง  ประเมินราคาเป้าหมายหุ้น CIVIL ใหม่ที่ 7.70 บาท โดยปรับเพิ่ม เป้าหมาย PER  ขึ้นเป็น 20 เท่า จากเดิม 14 เท่า จากปัจจัยบวก 4 ด้าน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อภาพการเติบโตแบบ Super growth stock ที่โดดเด่นของบริษัทฯ ฯ เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

ปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CIVIL ผู้นำด้านงานก่อสร้างและวิศวกรรมโยธาแบบครบวงจรของไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยบวกทั้ง 4 ด้านที่ทำให้ CIVIL ถูกบล.บัวหลวงประเมินเป้าหมายราคาหุ้นใหม่ให้สูงขึ้นนั้น ได้แก่ 1.การมีจุดเด่นในเรื่องการบริหารต้นทุน และมีอัตรากำไรขั้นต้นระดับสองหลักหรือ Double digit โดยเฉลี่ยช่วง ปี 2561-2563 อยู่ที่ 14.5% และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 11.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 9.1% และ 8.2% ตามลำดับ จากการที่มีโรงงานช่วยลดต้นทุนวัสดุ, การ Balance Portfolio ที่มีงานทั้งโครงการใหญ่ – เล็ก เพื่อรักษาระดับกำไรขั้นต้นระดับ Double digit, การใช้เครื่องจักร – เทคโนโลยีช่วยก่อสร้างเพื่อลดการพึ่งพาแรงงาน และสนับสนุนอุตสาหกรรมแรงงานไทยให้เป็นแรงงานฝีมือมากขึ้นซึ่งจะช่วยหนุน Gross Profit ให้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงการขาดแคลนแรงงานในอนาคต

2.โครงการในมือหลายโครงการรองรับฐานกำไรเติบโต และ CIVIL มีศักยภาพในการหางานใหม่เฉลี่ย 5,000 ล้านบาทต่อปี  คาดการณ์ว่ามูลค่างานในมือสะสม (Backlog) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ส่งผลให้รักษาระดับรายได้ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อปี ได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปี อีกทั้งจากการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก( IPO) ทำให้บริษัทฯ มีเงินลงทุนขยายเครื่องจักร สามารถเดินหน้าหางานใหม่มาเติมได้ต่อเนื่อง เช่น งานเซ็นสัญญาเข้ารับงานบริหารโครงการก่อสร้างกับหน่วยงานภาครัฐ รวมจำนวน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน -บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย – บางแพ้ว ตอน 8 มูลค่าโครงการ 1,911 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ถนนสาย บ.หาดสำราญ-ตะเสะ มูลค่าโครงการ 34.5 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างถนนยางแอสฟัลติกคอนกรีตสาย อย.4055 แยกทางหลวงหมายเลข 3267 – บ้านตาลเอน อ.มหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มูลค่าโครงการ 45 ล้านบาท

นอกจากนี้งานในระบบของกระทรวงคมนาคมช่วง 1 – 5 ปีข้างหน้า ยังมีมูลค่ารวมสูงถึง 900,000 ล้านบาท และบริษัทฯ ยังมีแผนขยายงานร่วมกับพาร์ทเนอร์อื่น ๆ อีกด้วย เช่น บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ)

3.กลุ่มบริษัทโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศอย่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF ) เข้ามาถือหุ้น  CIVIL ตั้งแต่ IPO ส่งผลให้บริษัทฯ มีโอกาสที่จะได้เข้าร่วมงานโยธาโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น เพราะกลุ่มบริษัทบีทีเอส และพันธมิตรอย่างบริษัท การบินกรุงเทพ ( BA) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น( STEC) มีงานสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน  คาดว่ามูลค่างานโยธาจะอยู่ที่ประมาณ 120,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นการหาผู้รับเหมาในช่วงไตรมาส 2 /2565 อีกทั้ง GULF ที่มีการลงทุนโรงไฟฟ้า – เขื่อนในลาว โครงการแรกประมาณ 70,000 ล้านบาท หาก CIVIL ได้ส่วนแบ่งงานเพียง 10% จาก 2 โครงการดังกล่าว ก็จะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยบล.บัวหลวงประเมินกรณี Best case scenario ว่าบริษัทฯ สามารถรับงานได้เต็มกำลังสูงสุดราว 15,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหมายถึงรายได้มีโอกาสจะเติบโตเกือบ 2 เท่าตัวจากปัจจุบัน

4.การคาดการณ์กำไรหลักในปี 2565 ที่ 269 ล้านบาท เติบโต 23% เมื่อเทียบกับปีก่อน หากอิงตาม Backlog เดิม แต่จากความมั่นใจต่อโอกาสรับงานใหม่มากกว่าในอดีต ทางบล.บัวหลวงจึงได้ปรับสมมติฐานงานใหม่ในปี 2566 จากเดิม 5,000 ล้านบาทเป็น 7,500 ล้านบาท และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี ทำให้ประมาณการ กำไรหลักในปี 2565 – 2569 จะเติบโตเฉลี่ย 23% และทางบล.บัวหลวง ได้วิเคราะห์กรณี Base case มีงานใหม่ 9,000 ล้านบาทใน ปี 2566 ไต่ระดับไปเต็ม Maximum capacity ในปี 2569 พบว่ากำไรหลักปี 2565 – 2569 จะเติบโตเฉลี่ยถึง 34% ส่งผลให้ทางบล.บัวหลวงได้ประเมินราคาเป้าหมายของหุ้น CIVIL ใหม่ที่ 7.70 บาท โดย ปรับเป้าหมาย PER อยู่ที่ 20 เท่า จากเดิม 14 เท่า โดยอิง PEG เพียง 0.6 เท่า บนการเติบโต 5 ปี เฉลี่ย 34% ตามประมาณการกำไรกรณี Best case โดยเป้าหมาย PER  ที่ 20 เท่า เป็นระดับ Premium valuation มากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่เฉลี่ย 16.5 เท่า สะท้อนความเชื่อมั่นต่อภาพการเติบโตแบบ Super growth stock ที่จะโดดเด่นกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมไปได้อีกหลายปี