BH-BDMS กำไรก้าวกระโดดปี 65 ได้อานิสงส์เปิดปท.

HoonSmart.com>> กลุ่มโรงพยาบาลถึงเวลาถอยหรือยัง…หลังโควิดผ่อนคลาย โบรกเกอร์หลายสำนักยังเห็นพ้องกันว่าปีนี้ยังไปได้อยู่ เพียงแต่จะต้องเลือกรายตัว เชียร์”ซื้อ” BH และ BDMS กำไรเติบโตก้าวกระโดดจากปี 64 ลูกค้าต่างชาติกลับมาใช้บริการ แต๋ก็มองยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกำไรฟื้นตัวขึ้น ขณะที่หุ้น CHG และ BCH เตรียมถอยทัพได้ รายได้ลูกค้าโควิดหดหายไป กดกำไรหดตัวจากปี 64

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มผ่อนคลายลง จนทำให้สามารถที่จะเปิดประเทศได้ ทำให้มองภาพกลุ่มโรงพยาบาลในปี 2565 ยังอยู่ในทิศทางที่ดีอยู่ โดยเฉพาะบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH), บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS), โรงพยาบาลพระรามเก้า (PR9) และบริษัท เอกชัยการแพทย์ (EKH) ซึ่งผลกำไรคาดว่าจะเติบโตดีเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ผ่านมา จึงแนะนำ”ซื้อ”

โดย BH ให้ราคาเป้าหมาย 107 บาท ได้รับผลดีจากการเปิดเมือง คาดว่ากำไรปีนี้จะอยู่ที่ 2,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่คาดจะมีกำไร 955 ล้านบาท ซึ่งเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติจากการฟื้นตัวของลูกค้าต่างชาติ แต่ในช่วงภาวะปกติกำไรของ BH จะอยู่แถว 3,700-3,800 ล้านบาท

BDMS ราคาเป้าหมาย 29 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ 10,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่คาดจะมีกำไร 6,700 ล้านบาท ตอบรับการฟื้นตัวของลูกค้าต่างชาติ

PR9 ราคาเป้าหมาย 15 บาท คาดกำไรสุทธิปีนี้ 371 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่คาดจะมีกำไร 231 ล้านบาท ซึ่งกำไรปีนี้จะฟื้นตัวขึ้นจากปัจจัยภายใน จากลูกค้าเดิมกลับมาใช้บริการ

EKH ราคาเป้าหมาย 9.40 บาท คาดกำไรสุทธิปีนี้ 168 ล้านบาท ลดลงจากปี 64 ที่คาดจะมีกำไร 280 ล้านบาท เนื่องจากปี 64 มีรายได้จากลูกค้าโควิดมาก แต่ที่ยังเชียร์ EKH เนื่องจากจะได้รับผลดีจากการเปิดประเทศ เพราะมีลูกค้าชาวจีนอยู่ประมาณ 10%

สำหรับหุ้น BCH และ CHG ปีนี้กำไรคงจะลดลง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ผ่อนคลายลง แต่ก็ยังคงแนะนำ”ซื้อ” โดย BCH ให้ราคาเป้าหมาย 28.5 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ 2,166 ล้านบาท ลดลงจากปี 64 ที่คาดจะมีกำไร 5,784 ล้านบาท ส่วน CHG ให้ราคาเป้าหมาย 4 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ 1,400 ล้านบาท ลดลงจากปี 64 ที่คาดจะมีกำไรสุทธิ 3,000 ล้านบาท โดยในปี 64 ทั้ง BCH และ CHG ต่างมีรายได้จากโรคโควิด-19 อยู่มาก

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า ภาพรวมกลุ่มโรงพยาบาลได้ผ่านจุดพีคไปแล้วในปี 2564 ที่ผ่านมา ในแง่ปัจจัยพื้นฐานผลดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มโรงพยาบาลในปี 2565 คาดว่าจะอ่อนลง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีรายได้จากโควิด-19 อยู่ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น CHG, BCH ผลกำไรคงจะอ่อนลงหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้ผ่อนคลายลง และราคาหุ้นก็จะอ่อนตัวลงด้วย หลังจากที่ได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว ซึ่งกำไรในปี 65 แม้จะอ่อนตัวลงแต่คงจะยังไม่กลับไปที่จุดเดิม ซึ่งกว่าที่กำไรจะกลับไปที่จุดเดิมก็น่าจะเป็นปี 66 หากไม่มีโรคร้ายอะไรเกิดขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ดี มี BH และ BDMS ราคาหุ้น และผลกำไรคงจะไม่อ่อนตัวลง เนื่องจากมีลูกค้าที่ใช้สิทธิด้วยไวรัสโควิด-19 ไม่มาก แม้ที่ผ่านมาลูกค้าต่างชาติจะยังมาไม่ได้ ทำให้รายได้ของโรงพยาบาลหดตัวไป แต่ด้วยโรคโควิดทำให้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้คาดว่า BDMS และ BH ปีนี้ผลดำเนินงานจะดีขึ้น และยังได้รับอานิสงส์จากการเปิดเมืองด้วย

“ตอนนี้คงจะแนะนำแค่ Wait & See ก่อนสำหรับหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล เพราะต้องไปดูหลังจากผ่านไตรมาส 1/65 ไปแล้ว การแพร่ระบาดโควิด-19 จะกลับมาอีกไหม “

นายมงคล ประเมินราคาหุ้น BCH คงจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 20 บาท มาเคลื่อนไหวในกรอบ 15-18 บาท แต่คงจะไม่ต่ำกว่า 14-15 บาท เหมือนอย่างที่เคย ซึ่งทุกโรงพยาบาลราคาหุ้นมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลงแต่คงจะไม่ลงไปเท่าในอดีต เพราะโรคโควิด-19 ยังอยู่

บล.แลนด์แอนด์ เฮ้าส์ ให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มการแพทย์ เป็นกลาง (Neutral) จาการที่สายการบิน Saudi Arabian Airlines เตรียมเปิดเที่ยวบินตรง จากซาอุ-ไทย ใน เดือน พ.ค. 65 ฝ่ายวิจัยเห็นว่า ประเทศไทยไม่มีเที่ยวบินตรง ซาอุ-ไทย มากกว่า 30 ปี หลัง ซาอุตัดสัมพันธไมตรีกับไทย การฟื้นความสัมพันธ์ทุกมิติ ของนายกฯไทยเยือนซาอุรอบนี้ ถือเป็นผลบวกต่อด้านเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ที่สายการบิน Saudi Arabian เตรียมเปิดเที่ยวบินตรงมายังไทย

ทั้งนี้ประเทศในแถบตะวันออกกลาง นิยมเดินทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และบินตรงมารักษาโรคที่มีความรุนแรงเป็นจำนวนมาก และถือเป็นกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่บินตรงมารับการรักษามากสุด รวมถึงใช้เวลาในการรักษาแบบผู้ป่วยในเฉลี่ยเกิน 10 วันต่อราย กลุ่มผู้ป่วยตะวันออกกลางที่บินตรงมารับการรักษา ถือเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ให้กับโรงพยาบาลในไทย มากสุด รองจากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทย นอกจากนี้ ชาวตะวันออกกลาง ยังนิยมนำผู้ติดตาม ซึ่งเป็นญาติมาดูแล และท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วย ราว 1-3 คน ปัจจุบันมีผู้ป่วยจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มากสุด รองลงมา คือ โอมาน และการ์ต้า

จีงเชื่อว่าในระยะยาว ผู้ป่วยจากซาอุดิอาระเบีย ที่จะมารับการรักษาในไทย จะมีจำนวนมากสุด และสร้างรายได้อันดับ 1 ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เนื่องจากมีประชากรมากสุด คือกว่า 30 ล้านคน และเป็นประเทศที่รวยเป็นอันดับที่ 11 ของโลก รวมถึงเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก โดยรายรับของประเทศราว 2 ใน 3 มาจากการส่งออกน้ำมัน จึงถือเป็นผลบวกต่อภาคการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

โรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติในระดับสูง อย่าง BDMS และ BH โดยแนะนำ “ซื้อลงทุน” BDMS ราคาเป้าหมาย 27.5 บาท และเลือกเป็น Top pick กลุ่ม จากจุดเด่นมีรพ.กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวทุกแห่ง และเห็นการฟื้นตัวชัดเจนสุด และแนะนำซื้อเก็งกำไร BH ราคาเป้าหมาย 150 บาท

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะ”เก็งกำไร”หุ้น BH ราคาเป้าหมาย 148 บาท ประเมินแนวโน้มผู้ป่วยต่างชาติที่จะเข้ามารักษาตัวในไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2/65 หลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายหนุนการเปิดการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้คาดผลการดำเนินงาน BH ผ่านจุดต่ำสุดในปี 2564 ไปแล้ว

นอกจากนี้ ประเด็นการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่าง ไทย – ซาอุดิอาระเบีย จะเป็นบวกต่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากผู้ป่วย – นักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบีย ซึ่งประเมินว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของ BH

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะ”ซื้อ”หุ้น BDMS เลือกเป็นหุ้นเด่นกลุ่มโรงพยาบาล มองว่าผลประกอบการฟื้นตัวดีต่อเนื่องในปี 65 ซึ่งคาดว่าจะรับผลบวกจากการเปิดประเทศ คนไข้ต่างชาติจะกลับมา หลังผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 โดยยังมองว่าธุรกิจของ BDMS อยู่ในช่วงของการเก็บเกี่ยวกำไรจากเงินลงทุน เนื่องจากผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ไปแล้ว และโรงพยาบาลใหม่ที่เปิดส่วนใหญ่ผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานในปี65 ที่ 27.90 บาท

ทั้งนี้ มองว่า BDMS ยังมีผลประกอบการปี 65 เติบโตต่อเนื่อง และ Outperform กลุ่มโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ที่คาดว่าผลประกอบการมีโอกาสปรับลดลงจากฐานที่สูง โดยคาดว่าสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 โอมิครอน แม้จะกระจายเร็วแต่ไม่ได้รุนแรง และคาดว่าจะเริ่มคลี่คลายในไตรมาส 2 ซึ่งยังเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าบริษัทจะรับผลบวกจากการเปิดประเทศ ซึ่งคนไข้จากต่างประเทศจะกลับมารักษารวมถึงยังมี pent up demand ของโรคซับซ้อน ที่รอการรักษาอยู่มาก เบื้องต้นคงประมาณการรายได้ปี 65 ที่ 80,791 ล้านบาท +10% YoY โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น และคาดกำไรปกติปี 65 เติบโต 20% YoY เป็น 8,891 ล้านบาท