3 บลจ.มองหุ้นไทยปี 65 ฟื้น เล็งหุ้นแบงก์-พลังงาน-ค้าปลีก-อาหาร-สื่อสาร

HoonSmart.com>> 3 บลจ.ชั้นนำ “เกียรตินาคิน-ไทยพาณิชย์-แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” ฟันธงตลาดหุ้นไทยปี 65 ฟื้นตัว หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย คาด GDP ขยายตัวอย่างน้อย 3.4% กำไรบจ.เติบโต 10% มองมุมบวกหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ค้าปลีก อาหาร และสื่อสาร รับธีมดอกเบี้ยขาขึ้น ธีมเปิดเมือง และธีมลงทุนระยะยาวแบบเมกะเทรนด์ ด้านบล.เกียรตินาคิน ชี้เป้า 10 หุ้นเด่นปีนี้ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, IVL, LH, MINT, PTTEP, TOP, TU

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปี The Year Ahead 2022 ในธีม “Year of CHANGE, in Year of CHANCES” รวม 3 บลจ.ชั้นนำของไทย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด เมื่อ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา

นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกจะยังสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ขณะที่ธนาคารกลางหลายประเทศมีแนวโน้มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น หรือลดขนาดของการซื้อสินทรัพย์ลง เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ สภาพคล่องของระบบอาจจะลดลงบ้างแต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง การลงทุนในตราสารทุนทั่วโลกจึงยังมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้

สำหรับประเทศไทย คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างน้อย 3.4% จากทั้งฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า การฟื้นตัวภายในประเทศ แนวโน้มการเปิดเมืองภายในประเทศหลังประชาชนได้รับวัคซีนทั่วถึง และความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอนที่น้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า ถึงแม้ว่าการเดินทางกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจยังต้องใช้เวลากว่า 1-2 ปีกว่าจะกลับไปถึงระดับเดียวกับก่อนการระบาด โดยธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปี เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ ตลาดหุ้นไทยจึงยังคงมีความน่าสนใจต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยบลจ.เกียรตินาคินภัทร ประมาณการณ์ว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตได้ดี ประมาณ 10% แนะลงทุนในหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1) หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ ที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมือง ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับโควิด และการใช้จ่ายก่อนการเลือกตั้ง

2) หุ้นกลุ่มที่ราคาไม่สูง หรือหุ้นกลุ่มราคาขึ้นช้า (Laggard) ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเติบโตที่กระจายตัวขึ้น

3) หุ้นกลุ่มที่มีอำนาจกำหนดราคา (pricing power) สูง สามารถปรับตัวได้ในภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น หรือ หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีแนวโน้มสูงขึ้น

4) หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก เช่น 5G, Data Center, ยานยนต์ไฟฟ้า หรือพลังงานสะอาด เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ บลจ. มีมุมมองที่เป็นบวกได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มการสื่อสาร และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่อาจทำให้การคาดการณ์ข้างต้นต่างไปอย่างมีนัยสำคัญคือ การระบาดของโควิดในวงกว้างซึ่งอาจเกิดจากสายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงและดื้อต่อวัคซีน อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์มาก การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกที่เร็วและมากกว่าที่คาด ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงการชะลอตัวที่รุนแรงของเศรษฐกิจจีน

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่า หุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวได้ต่อในปี 2565 โดยมีความน่าสนใจเพราะตลาดหุ้นไทยยังตามหลังตลาดหุ้นอื่นพอสมควร ทาง SCBAM มองบวกการลงทุนหุ้นไทย 3 ธีมได้แก่ ธีมดอกเบี้ยขาขึ้น (ธนาคาร) ธีมเปิดเมือง (พลังงาน พาณิชย์ อาหาร และอสังหา) ธีมลงทุนระยะยาวแบบเมกะเทรนด์ที่ได้รับประโยชน์จาก digital transformation, EV, AI, หรือ cloud เป็นต้น

สำหรับปัจจัยเสี่ยงอย่างเงินเฟ้อและโอมิครอนน่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนจำกัด โดยเชื่อว่าเงินเฟ้อแม้จะอยู่ในระดับที่สูงขึ้นแต่ยังสามารถควบคุมได้ ขณะประชาชนทั่วโลกจะปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิดได้ดีขึ้น นอกจากนี้มองว่าหุ้น small cap ไทยที่มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับการเติบโตบนเมกะเทรนด์ในระยะยาวน่าจะทำผลประกอบการได้ดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 หลังจาก laggard (ราคาขึ้นช้ากว่า) ตลาดหุ้นโลกมายาวนาน โดยมองว่าการเติบโตในตลาดพัฒนาแล้วเริ่มชะลอลง แต่ทางฝั่งตลาดกำลังพัฒนาในเอเชีย(ไม่รวมจีน) คาดว่าน่าจะมีโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หุ้นกลุ่ม small cap ของไทยที่มีความสัมพันธ์กับการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศสูงน่าจะทำผลตอบแทนได้ดี นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ยังมีโอกาสปรับตัวได้เร็วในยุคที่เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเร่งตัว โดยมีโอกาสร่วมมือหรือได้รับเงินลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ที่กำลังเจอข้อจำกัดของการเติบโต สำหรับมุมมองเงินเฟ้อเชื่อว่าอาจปรับเพิ่มสูงขึ้นได้แต่ว่ากลุ่ม small cap ไทยไม่ได้น่ารับผลกระทบมากนักเพราะถือว่าเป็นหุ้นที่มี duration สั้น

ด้านนางสาวพรทิพย์ ทันตสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ให้ข้อมูลเพิ่มด้านกลยุทธ์การลงทุน โดยคาดการณ์ว่าสำหรับปี 2565 นี้ ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานในช่วงครึ่งปีแรกก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง เนื่องจากการฟื้นตัวที่อ่อนแอของเศรษฐกิจตามการฟื้นตัวที่ช้าของการท่องเที่ยว และมีปัจจัยลบจากการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในครึ่งปีแรก ดังนั้นการปรับลดลงของตลาดในช่วงครึ่งปีแรกจึงเป็นโอกาสเข้าซื้อ

“ความผันผวนของตลาดในครึ่งปีแรกน่าจะยังถูกกระทบจากการฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนแอ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งปีหลัง การฟื้นตัวของผลประกอบการจะเร่งตัวขึ้น” นางสาวพรทิพย์ กล่าว

บล.เกียรตินาคิน คาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) จะไปอยู่ที่ 94 บาท/หุ้น ในปี 2565 ซึ่งคิดเป็นการเติบโต 15% จากปี 2564 โดยประมาณการ EPS อิงจากค่าเฉลี่ยของ 1) แนวโน้มผลประกอบการในระยะยาว 2) การคาดการณ์กำไรของตลาด และ 3) ประมาณการกำไรของ บล.เกียรตินาคินภัทร

สำหรับหุ้นที่ควรลงทุนคือ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มพลังงานและกลุ่มสื่อสาร ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ และไม่ได้รับผลกระทบมากนักในช่วงที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงขึ้น ตลอดจนกลุ่มท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นกลยุทธ์การลงทุนหลักในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่น่าจับตามอง คือ การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงควรเลือกหุ้นเป็นบางตัวในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มการเงิน โดยหุ้น 10 บริษัทที่แนะนำสำหรับปี 2565 ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, IVL, LH, MINT, PTTEP, TOP และ TU