ก้องเกียรติ : อีก 2 ปีข้างหน้า เฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 7 ครั้ง

ก้องเกียรติ จับตา 2 ปีสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้ง แนะลงทุนตลาดหุ้นเวียดนาม เหตุยังโตได้อีกมาก พร้อมระบุเทรนด์ “Health Tech” กำลังมา เปิดทางธุรกิจเจาะตลาดรักษาพยาบาลคนแก่ทั่วโลกมูลค่า 210 ล้านล้านบาท

ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้ง หรือ ASP ปาฐกถาในหัวข้อ “เปิดเคล็ดลับในการออกไปลงทุนต่างประเทศ” ว่า การลงทุนในต่างประเทศเป็นการเปิดโลกทัศน์และวิสัยทัศน์ให้กับนักลงทุน และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นของไทยไม่ดีหรือให้ผลตอบแทนติดลบ แต่หุ้นต่างประเทศดี เช่น ปีที่แล้วบางช่วงตลาดหุ้นไทยไม่ดี ASP และตนเองได้เข้าไปลงทุนในหุ้นสหรัฐ ซึ่งถือว่าดีมาก

“ก่อนหน้านี้ 2-3 ปี ผมไปลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี และหุ้นแบงก์ในสหรัฐ เพราะมองว่าดอกเบี้ยขาขึ้น ตอนนี้ยิ่งคอนเฟิร์ม เพราะพันธบัตรสหรัฐใกล้แตะ 3% แล้ว ตอนนี้ 2.96% ซึ่งขึ้นมาเร็วมาก ถ้ามองไปอีก 2 ปีข้างหน้า เฟดน่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 7 ครั้ง ครั้งละ 0.25% เทรนด์มันขึ้นไปลักษณะนี้ คนที่ได้ประโยชน์มากคือธนาคาร แต่แน่นอนว่า ธนาคารคงจะถูกดิสรัปชั่นด้วย แต่ผมเชื่อว่าหลายธนาคารมีการปรับตัวอย่างรวดเร็วอย่างที่เห็นกัน”ดร.ก้องเกียรติกล่าว

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีมาเก็ตแคปอยู่ที่อันดัน 22 ของโลก มีมูลค่า 0.56 ล้านล้านเหรียญ หรือ 14 ล้านล้านบาท และคิดเป็น 0.7% ของมาเก็บแคปหุ้นทั้งโลก โดยตลาดหุ้นสหรัฐมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่า 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 36% รองลงมาเป็นตลาดหุ้นจีน 9% และฮ่องกง 7% จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีนักลงทุนจะกระจานการลงทุนไปต่างประเทศ 70-80 ของพอร์ตลงทุน

โดยนักลงทุนที่เทรดหุ้นผ่าน ASP ซึ่งมีหุ้นให้ลงทุนครอบคลุมใน 24 ประเทศนั้น พบว่าตลาดหุ้นที่คนนิยมเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐ ตามมาด้วยจีนและฮ่องกง ส่วนฝรั่งเศส เยอรมนี และอินโดนีเซียมีลงทุนบ้างเล็กน้อย แต่ที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นสิงคโปร์กลับไม่เป็นที่นิยม เพราะตลาดอยู่กับที่ไม่ได้ไปไหน นักลงทุนส่วนใหญ่คงไม่ค่อยชอบ ส่วนมาเลเซีย นักลงทุนสนใจน้อย เพราะรัฐบาลมาเลเซียเข้ามาแทรกแซงตลอดเวลา

“ผมเองลงทุน 80-90% ในเมืองนอก ทั้งการเลือกหุ้นตรงหรือเลือกลงทุนผ่านกองทุน ส่วนหุ้นไทยก็ลงทุนเล็กน้อยในช่วงที่ตลาดไม่ดี แต่เมื่อตลาดไทยดี เราก็กลับข้างได้ อันนี้เป็นทางเลือกที่ดีและกระจายความเสี่ยง และแม้ว่าตอนนี้ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นมาเร็ว มาเก็ตแคปใกล้สิงคโปร์แล้ว แต่อย่างก็ดีแค่ 0.7% ของทั่วโลก”ดร.ก้องเกียรติกล่าว

มูลค่าตลาดหุ้น 30 อันดับแรกของโลก

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า ตลาดหุ้นที่ร้อนแรงมากในตอนนี้ คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะเป็นตลาดที่โตเร็วมาก โดยเมื่อ 27 ปีก่อน ตนไปเวียดนามตอนเปิดประเทศใหม่ๆ มีจักรยานเป็นล้านล้านคัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปมาก มีเมืองท่องเที่ยวที่สวยๆไม่แพ้ภูเก็ตและเชียงใหม่ อีกทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลมากมาย เพียงแต่ยังพีอาร์ไม่ค่อยเป็น ขณะที่เวียดนามมีคนเก่งและมีสตาร์ตอัพจำนวนมาก ซึ่งคนเหล่านี้ทำงานกับบริษัทใหญ่ระดับโลก เช่น กูเกิล และเฟซบุ๊ก

“มองไปอีก 3 ปี เศรษฐกิจเวียดนามจะโตเฉลี่ยปีละ 6% กว่าๆ แต่นี่เขายังไม่ได้ออกแรงนะ ถ้าออกแรงจะไปได้ดีกว่านี้ เพราะท่องเที่ยวยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พื้นที่สวยๆมีเยอะ โรงแรม 7 ดาวมีเยอะ และเมื่อเร็วๆนี้ ผมขับรถไปดูบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ของเขา หลังเล็กกว่าบ้านของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์อีก แต่ราคาหลังละ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ คือ 150 ล้านบาท คอนโดไฮเอนด์ ตารางเมตรละ 3 แสนบาท นี่เป็นตัวอย่างว่า เขาโตเร็วเกินไป ทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปเร็ว”ดร.ก้องเกียรติกล่าว

ดร.ก้องเกียรติ ระบุว่า วันนี้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วมากและจะไปไกลกว่านี้ หากนักลงทุนต้องการศึกษาเทรนด์เทคโนโลยีในวันข้างหน้า ควรศึกษาจากสตาร์ตอัพจีน อิสราเอล และอังกฤษ เช่น สตาร์ตอัพรายหนึ่ง ซึ่งให้บริการสินเชื่อผ่านมือถือและอนุมัติได้ทันที เพราะมีข้อมูลย้อนหลังว่า 6 เดือนที่ผ่านมาไป ผู้ขอสินเชื่อไปทำอะไรที่ไหนบ้าง โดยใช้ข้อมูลจีพีเอสในมือถือ และจะให้พูดประโยคเดียวผ่านหน้าจอมือถือแล้วคอมพิวเตอร์จะวิเคราะห์ว่า ผู้ขอสินเชื่อจะใช้หนี้หรือไม่

นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้จะมีคนแก่ทั่วโลกเป็น 2,000 ล้านคน โดยคนแก่เหล่านี้ต้องมีค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และบ้านพักคนสูงอายุ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือ 210 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่มากกว่าธุรกิจรักษาพยาบาล (Health Care) นั่นก็คือธุรกิจรักษาพยาบาลที่ใช้เทคโนโลยี (Health Tech) โดยแพทย์จะเข้าไปดูบิ๊กดาต้าที่มีข้อมูลคนไข้ย้อนหลัง และสามารถทำนายอนาคตการเกิดโรคได้