HoonSmart.com>> หุ้นทรุด 16.60 จุด ตามต่างประเทศหลังบอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่ง ก่อนประชุมเฟดสัปดาห์หน้า ต่างชาติ-สถาบันไทยทิ้งกว่า 5 พันล้านบาท กลยุทธ์เลือกรายตัว บล.กรุงไทย ซีมิโก้ มองแบงก์, หุ้นปันผล, กลุ่ม EV, หุ้นกัญชง กัญชา,หุ้นคริปโต บล.โนมูระฯชู 17 หุ้น บล.หยวนต้าแนะ IRPC เป้า 4.30 บาท ปันผล 4.2% บล.ทิสโก้คาดบจ.โกยกำไรไตรมาส 4 รวม 1.99 แสนล้าน ดึงดูดทุนนอก หนุนดัชนีขึ้นทดสอบ 1,700 จุด
วันที่ 18 ม.ค.2565 ตลาดหุ้นไทยปิดใกล้ระดับต่ำสุดที่ 1,660.27 จุด ลดลง 16.60 จุด หรือ -0.99% มูลค่าซื้อขาย 113,953.45 ล้านบาท ปรับตัวลงแรงตามตลาดในภูมิภาคส่วนใหญ่ รวมถึงหุ้นยุโรป ดาวโจนส์ล่วงหน้าติดลบกว่า 250 จุด และ Nasdaq ดิ่ง 1.7% ราคาทองคำร่วง หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) 10 ปี ปรับขึ้น 0.066% มาอยู่ที่ 1.838%
นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายหนักขึ้น 2,957.10 ล้านบาท สถาบันไทยทิ้งตาม 2,629.92 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยซื้อสุทธิ 5,583.82 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ติดลบ เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ก็เปิดในแดนลบ รับแรงกดดันจากกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวลงหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นเร็ว
ทั้งนี้ ปกติเดือนม.ค.จะเป็นเดือนที่ดีในการมองซื้อหุ้นปันผล และหุ้นที่มีกำไรดี ซึ่งนักลงทุนต่างชาติจะมองการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ให้ผลตอบแทนดี แต่รอบนี้มองดีเกินไป เพราะมีประเด็นจากสหรัฐในเรื่องที่อาจจะมีการลดขนาดงบดุล เพื่อเอาเงินออกจากระบบ หลังจากที่เงินเฟ้อพุ่งแรง และเรื่องนี้ตลาดยังไม่ได้ตอบรับเท่าไร ขณะที่ต่างชาติก็เริ่มพูดกันมากขึ้น ทำให้คนเริ่มกลัว และเลือกที่จะถอยออกมาก่อนบางส่วน อีกทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วย ซึ่งสัปดาห์หน้าก็จะมีการประชุมเฟด ทำให้บอนด์ยีลด์พุ่งขึ้นแรงในช่วงนี้
อย่างไรก็ดี ยังสามารถเลือกเล่นหุ้นได้เป็นรายตัว จากที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว เช่นกลุ่มธนาคาร, หุ้นที่มีปันผล, หุ้นในกลุ่ม EV, หุ้นที่เกี่ยวกับกัญชง กัญชา และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต
ส่วนแนวโน้มในวันที่ 19 ม.ค.2565 คาดว่าตลาดคงจะยังอ่อนตัว โดยมีแนวรับ 1,650-1,640 จุด แนวต้าน 1,670-1,680 จุด พร้อมให้จับตาเรื่องการเรียกเก็บภาษีขายหุ้น 0.1% จะเกิดขึ้นได้เมื่อไร, การทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ
กลยุทธ์ เน้นจังหวะตลาดผันผวนตั้งรับ หุ้นพื้นฐานดี แนะนำ ADVANC, AMATA, GPSC, KBANK, KCE, MAKRO, SCB, TIDLOR
หุ้นขนาดกลางและเล็ก แนะนำ BLA, BBIK, BE8, GFPT, JMT, KSL, PLANB, SINGER, SAPPE
บล.หยวนต้า(ประะเทศไทย) แนะนำเทรดดิ้ง IRPC ให้ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท และยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลครึ่งหลังของปี 2564 ที่ 0.17 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 4.2% คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/64 ที่ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ฟื้นตัวในทุกมิติจากช่วงการแพร่ระบาด ขณะที่จะประคองตัว เทียบไตรมาสที่ 3 เพราะมาร์จิ้นปิโตรเคมี – น้ำมันหล่อลื่นที่ลดลง และต้นทุนพลังงานสูงขึ้น จะสามารถชดเชยไดด้วยอัตราการกลั่น – ค่าการกลั่นดีขึ้น และมีกำไรสต็อกน้ำมัน 1.7 พันล้านบาท ทั้งนี้หากไตรมาส 4 เป็นไปตามคาด กำไรทั้งปีจะทำระดับสูงสุดใหม่(นิวไฮ) และคาดการณ์มี Upside 12%
ด้านบล.ทิสโก้มองบวกกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาส 4/2564 จากประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวน 199 บริษัท คาดจะมีกำไรสุทธิโดยรวมอยู่ที่ 1.99 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น +21% YoY มาจากฐานที่ต่ำ และ +19% QoQ เนื่องจากเป็นช่วงที่รัฐบาลเริ่มทยอยคลายล็อกดาวน์ เปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น
“เรายังคงระดับ SET Index ที่เหมาะสมปีนี้ไว้ที่ 1,720 จุด ปัจจุบันแกว่งตัวขึ้นมาบริเวณ 1670-80 จึงมี Upside ค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำเพียงกลยุทธ์การเทรดดิ้งระยะสั้น ขณะที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงของแนวโน้มและนโยบายการเงินของเฟด ในเชิงของกลยุทธ์หากปิดต่ำกว่าระดับ 1,660 จะเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ดีและควรใช้ Stop Loss เมื่อปิดต่ำกว่า 1,650 จุด”
หุ้นที่มีประเด็นน่าสนใจระยะสั้น ได้แก่ 1.หุ้นเก็งกำไรงบไตรมาส 4 และแนวโน้มปีนี้ยังเติบโตดี กลุ่มการเงิน – BBL, SCB, TTB, NCAP/ กลุ่ม Real Sector – ASIAN, BGRIM, CPALL, CPF, DCC, DOHOME, DTAC, GLOBAL, ICHI, NER, RBF, SC, SMPC, XO,WHA, WHAUP 2.หุ้นที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลสูง – AP, ASK, ASP, DIF, KGI, KKP, LALIN, LH, LST, NYT, PREB,PROSPECT, SAT, SC, SCCC, TVO 3.หุ้นที่จะได้ดีในช่วงที่เงินเฟ้อสูง ได้แก่ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันและ
สินค้าโภคภัณฑ์ – SPRC, IRPC, BCP, BANPU / หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ย- BBL,SCB, TTB, BLA4. หุ้นที่มีสตอรี่เฉพาะตัวหนุน เข้าสู่ตลาดคริปโตฯ-โทเคน-ดิจิตอลแอสเซท – GULF, RS, SCB, XPG / รัฐส่งเสริมรถยนต์ EV – EA, NEX, GPSC, BCPG, STANL
อย่างไรก็ตามเงินนอกไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญ ลุ้น SET Index ขึ้นทดสอบ 1,700 จุด หลังจากที่เงิน LTF ครบกำหนด 7 ปีทยอยไหลออกขวางทิศทางดัชนีที่บริเวณ 1,660 ในที่สุดก็สามารถผ่านระดับดังกล่าวไปได้ ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท (MTD), ข้อมูล ณ 17 ม.ค. 2565 ต่อเนื่องจากเดือน ธ.ค. ที่ซื้อสุทธิ 2.3 หมื่นล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญในรอบเกือบ 3 ปี หากเทียบกับการซื้อสุทธิของต่างชาติ 2 รอบล่าสุด คือ รอบปลายปีที่แล้ว และรอบกลางปี 2019 อาจแสดงนัยถึงโอกาสที่ต่างชาติจะซื้อสุทธิอีกราว 4.8 พันล้านบาท –1.9 หมื่นล้านบาท น่าจะผลักดันให้ดัชนีปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,700 ได้ในระยะสั้น